เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมการพัฒนาชุมชนได้น้อมนำโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเองในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาขยายต่อยอดสู่กิจกรรมตามแผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 นั้น ขณะนี้ได้เกิดกระแสตอบรับการปลูกผักกันอย่างคึกคักทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ตัวข้าราชการกรมการพัฒนาชุมชนต้องปลูกเองก่อน และประสานผู้นำระดับจังหวัด คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเปลี่ยนที่ว่างบริเวณจวนเป็นแปลงปลูกผัก รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ นายอำเภอทุกอำเภอ ตลอดจนผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมปลูกผักเป็นแบบอย่างแล้วนำพาชาวบ้านให้ทุกครัวเรือนได้ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารช่วงโควิด-19 ระบาด
“ขณะนี้ดำเนินการมา 50 กว่าวันแล้ว เลยครึ่งทางมาเล็กน้อย แต่ผลการตอบรับแรงมาก จากการสำรวจสถิติการปลูกผักรายครัวเรือน ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 พบว่าจากจำนวนครัวเรือนเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั่วประเทศ 11,811,124 ครัวเรือน ไม่รวมกรุงเทพมหานคร และเขตเมือง มียอดครัวเรือนลงมือปลูกผักสวนครัวแล้วจำนวน 10,137,648 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 85.83 ของครัวเรือนเป้าหมาย และพบว่ามีจังหวัดที่ประชาชนปลูกผักสวนครัวครบ 100% ของครัวเรือนเป้าหมายแล้ว 5 จังหวัด คือ จังหวัดพัทลุง พิษณุโลก ตาก อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด ขณะที่หลายจังหวัดก็มียอดคนปลูกผักใกล้จะครบ 100 % แล้วเหมือนกัน ซึ่งถ้าสถิติเป็นแบบนี้ไปอย่างต่อเนื่องก็มั่นใจได้ว่าเมื่อถึงกำหนด 90 วันจะมีผู้ปลูกผักสวนครัวทั่วประเทศ 100 % ตามจำนวนครัวเรือนเป้าหมายอย่างแน่นอน และเมื่อครบกำหนด 90 วันตามโครงการจะมีการประเมินผลการดำเนินงานทั่วประเทศ โดยกำหนดแผนว่าครัวเรือนที่สามารถปฏิบัติตามแผนได้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง จะให้สมัครเป็นสมาชิกโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเองในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อไป” นายสุทธิพงษ์กล่าว
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวต่อว่า การน้อมนำโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเองในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาขยายต่อยอดสู่กิจกรรมตามแผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของกรมการพัฒนาชุมชนครั้งนี้ จะช่วยเหลือประชาชนและสังคมไทยได้ประการ กล่าวคือ ทำให้คนไทยลดรายจ่ายจากการซื้อผักมาบริโภคในระดับครัวเรือน โดย 1 ครัวเรือนสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 50 บาท/วัน ถ้า 12 ล้านครัวเรือนจะลดรายจ่ายวันละ 600 ล้านบาท หรือประมาณ 200,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนมีเงินเก็บไว้ใช้สอยในสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันคนไทยก็มีผักรับประทานตลอดทั้งปี เป็นทั้งอาหารและยาวิเศษ คือ ผักปลูกเองอุดมด้วยสารอาหารและวิตามินที่ส่งผลดีต่อสุขภาพผู้บริโภค ปลอดสารปนเปื้อน ไร้สารพิษ เท่ากับเป็นการส่งเสริมสุขภาพของคนไทยไปในตัว ครอบครัวเกิดความรักความอบอุ่นจากที่ได้ร่วมกันทำกิจกรรมการปลูกผัก มีความผูกพันในครอบครัว มีอาหารที่พอเพียง เหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน เป็นสังคมแห่งความเอื้อเฟื้อ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 และส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งมีความมั่นคงทางอาหารขจัดหิวโหยให้หมดไปซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อที่ 2 คือ Zero Hunger หรือขจัดความหิวโหยนั่นเอง
ด้านนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นจังหวัด 1 ใน 5 จังหวัด ที่มีครัวเรือนปลูกผักสวนครัวครบ 100% กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจและมั่นใจในพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ดทุกคนที่ได้ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลในการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และให้ความสำคัญกับการสร้างแหล่งอาหารไว้ที่บ้านของตัวเองด้วยการปลูกผักสวนครัวตามการน้อมนำโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเองในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาขยายต่อยอดสู่กิจกรรมตามแผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของกรมการพัฒนาชุมชน
ทั้งนี้ จังหวัดร้อยเอ็ดได้นำมาเป็นแนวปฏิบัติภายใต้กิจกรรม “ปลูกผักสวนครัว ทั่วทั้งจังหวัดร้อยเอ็ด” ซึ่งได้มีการมอบเมล็ดผักสวนครัวผ่านนายอำเภอทุกอำเภอเพื่อส่งมอบเมล็ดผักสวนครัวให้กับกำนัน/ผู้ใหญ่บ้านนำไปแจกจ่ายให้กับครัวเรือนในทุกหมู่บ้าน เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน และจังหวัดร้อยเอ็ดจะไม่หยุดอยู่แค่ให้ทุกคนเรือนปลูกผักสวนครัวเท่านั้น แต่จังหวัดร้อยเอ็ด ยังมีกิจกรรมบ่มเพาะ/เรียนรู้ แบ่งปันผักสวนครัว แปลงผักสวนครัวเป็นรายได้สู่ครัวเรือน นำไปสู่ธนาคารเมล็ดพันธุ์ผักสวนครัว และสุดท้ายจังหวัดร้อยเอ็ดจะมีตลาดสีเขียว หรือ Green market ให้กับพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ดต่อไป