Home ข่าวทั่วไทย “เอกนัฏ” หวด 4 รง.รีไซเคิลมหาชัย เย้ยรัฐทำผิดซ้ำซาก สั่งหยุดกิจการ-ดำเนินคดีเด็ดขาด
ข่าวทั่วไทย

“เอกนัฏ” หวด 4 รง.รีไซเคิลมหาชัย เย้ยรัฐทำผิดซ้ำซาก สั่งหยุดกิจการ-ดำเนินคดีเด็ดขาด

Share
Share

“เอกนัฏ” เร่งสางความเดือดร้อนชาวนาเกลือมหาชัย หลังเจอมลพิษ รง.รีไซเคิลทำ “เกลือสีดำ” ส่ง “ทีมสุดซอย” ปูพรมตรวจล้างบาง 4 รง.ต้นเหตุ พบมีรายที่เคยโดนสั่งปิด แต่ยังฝ่าฝืนทำผิดซ้ำซาก สั่งหยุดกิจการ-ดำเนินคดีเด็ดขาด เล็งคลอดระเบียบคุมจัดการกากพิษเพิ่ม “ฐิติภัสร์” ผงะ! เจอซุกกากพิษ 3.5 หมื่นตัน ส่งตรวจสอบก่อนฟันเพิ่มอีกกระทง

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ว่า ได้รับผลกระทบทางมลพิษจากกลุ่มบริษัทรีไซเคิล จำนวน 4 ราย ในบริเวณดังกล่าว เป็นสาเหตุทำให้นาเกลือ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประชาชนละแวกนั้น กลายเป็นเกลือสีดำ ทำให้ผลผลิตเสียหาย ซึ่งคาดว่าเกิดจากการหลอมโลหะหนักของกลุ่มโรงงานรีไซเคิลจนมีเขม่าและละอองรวมทั้งปัญหาน้ำเสียจากโรงงานที่ไหลซึมลงสู่นาเกลือ อีกทั้งยังมีปัญหากลิ่นเหม็นรบกวน โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่มีการเดินเครื่องเตาหลอม จึงได้ส่งทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งในจำนวนนี้มีโรงงานที่เคยถูกสั่งระงับการประกอบกิจการชั่วคราว ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรสาครด้วย

“เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ทั้ง 4 โรงงานมีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ไม่พบการขออนุญาตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน และไม่พบการแจ้งการขนส่ง เป็นต้น จึงสั่งให้ดำเนินคดีในทุกการกระทำผิดอย่างเด็ดขาด” นายเอกนัฏ ระบุ

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมจะพิจารณาออกหรือปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อควบคุมการจัดการมลพิษของโรงงานที่ประกอบกิจการประเภทแยกและบดย่อยชิ้นส่วน รวมทั้งที่ประกอบกิจการกำจัดกากอุตสาหกรรมและเศษอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนกำหนดแนวทางเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

ด้าน นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นำโดย พ.ต.อ.อภิสัณฐ์ ไชยรัตน์ ผกก. 5 บก.ปทส. สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร (สอจ.) หน่วยงานส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน ในการเข้าตรวจสอบ 4 โรงงานในพื้นที่ ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาครได้แก่ 1) บริษัท เจิงฉิว (ประเทศไทย) จำกัด 2) บริษัท กิจรุ่งเรืองถาวร จำกัด 3) บริษัท อัมพรประเสริฐ จำกัด และสถานประกอบการวิชนี และจากการตรวจพบว่าทั้ง 4 โรงงานมีการกระทำผิดกฎหมาย และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร จึงได้สั่งให้หยุดประกอบกิจการและสั่งปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องภายใน 60 วัน และไม่ให้มีการขยายเวลาต่อ ทั้งในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การปล่อยมลพิษทางอากาศ และน้ำเสีย หากมีการฝ่าฝืนคำสั่งลักลอบประกอบกิจการรวมถึงไม่เร่งปรับปรุงให้แล้วเสร็จตามกำหนด จะดำเนินการยกระดับคำสั่งและดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด

ส่วนผลการตรวจสอบทั้ง 4 โรงงาน คือ 1) บริษัท เจิงฉิว (ประเทศไทย) จำกัด พบกระทำผิดเพิ่มเติม มีการตั้งและประกอบกิจการโรงงานผิดประเภท โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีการนำกากอุตสาหกรรม (เศษพลาสติก) ปล่อยน้ำเสีย ออกนอกโรงงานมาไว้บนพื้นที่ข้างเคียง โดยไม่ได้รับอนุญาต 2) บริษัท กิจรุ่งเรืองถาวร จำกัด พบการกระทำผิดเพิ่มเติมสภาพโรงงานไม่ปลอดภัย การติดตั้งเครื่องจักรไม่ตรงตามอนุญาต และมีการลักลอบฝังกากอุตสาหกรรม 3) บริษัท อัมพรประเสริฐ จำกัด พบการกระทำผิดลักลอบฝังกลบกากอุตสาหกรรมที่ต้องสงสัยเป็นตะกรันอะลูมิเนียมดอสในพื้นที่โรงงานประมาณ 3.5 หมื่นตัน และ 4) สถานประกอบการวิชนี พบการกระทำผิดเพิ่มเติม มีการลักลอบฝังกลบกากอุตสาหกรรมต้องสงสัยเป็นตะกรันอะลูมิเนียมดอสในพื้นที่โรงงานประมาณ 30 ตัน โดยทั้ง 4 โรงงานไม่มีการแจ้งขออนุญาตขนกากอุตสาหกรรมออกจากพื้นที่ และลักลอบฝังในพื้นที่ตนเอง เข้าข่ายครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต

“เบื้องต้นได้ยึดอายัดกากอุตสาหกรรมที่ต้องสงสัยเป็นอะลูมิเนียมดรอสจำนวนรวมกว่า 3.5 หมื่นตันไว้เพื่อนำตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ หากยืนยันว่าเป็นอะลูมิเนียมดรอส ก็จะดำเนินคดีฐานครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโทษครอบครองวัตถุอันตรายจะมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องทำการกำจัดวัตถุอันตรายให้ถูกต้องตามกฎหมายและดำเนินการอยู่บนหลักของความปลอดภัยไม่ให้มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

Share
Related Articles