รายการ เป็นเรื่องใหญ่ ออนแอร์ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.15 น. ทางช่อง JKN 18 ดำเนินรายการโดย “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้สัมภาษณ์ “ทนายรัชพล ศิริสาคร” ประธานชมรมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม กรณีที่แจ้งความแก๊งสปีดโบ๊ต ไม่ยอมให้ตรวจสารเสพติด คดี “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” ตกเรือจนเสียชีวิต พร้อมโฟนอิน “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ทนาย “คุณแม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน” ทุกประเด็นดราม่า
วันนี้ไปที่ สภ.นนทบุรี ไปทำอะไรมาบ้างครับ?
รัชพล : “อันนี้ไปแจ้งความนะครับ เท่าที่ตรวจสอบในเรื่องกฎหมาย ผมตามข่าวมาก็มีคนบางคนบนเรือ มีการไม่ให้ตรวจสารเสพติด ทีนี้ผมก็เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความยาเสพติด มาตรา 11/2 เขาก็ได้ให้อำนาจตำรวจในการสั่งให้บุคคลไปทกสอบยาเสพติด ถ้ามันมีเหตุอันควรอันนี้มันถือว่าเป็นเหตุจำเป็นแล้วเพราะว่าไปเที่ยวกันมาแล้วมันมีคนตาย เพราะฉะนั้นมันก็ควรที่จะตรวจ ถ้าสั่งแล้วคุณไปมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ไปมันก็เป็นความผิดทางกฎหมาย มันมีโทษคุก 1 ปีปรับ 2 หมื่น เพราะฉะนั้นผมก็เลยไปแจ้งความในฐานะพลเมืองดี ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาที่ไม่ยอมตรวจยาเสพติด”
หมายความว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราเลย เราไม่ใช่ผู้เสียหาย เราก็สามารถไปแจ้งตำรวจให้ตรวจสอบได้เหรอ?
รัชพล : “ตามกฎหมายคนไปแจ้งความสามารถแจ้งได้ 2 อย่างนะครับ อย่างแรกคือผู้เสียหาย อย่างที่ 2 คือพลเมืองดี สมมติเราไปเจอคนแทงกันตายเราสามารถไปแจ้งตำรวจได้ ไม่ต้องรอให้ญาติคนตายไปแจ้งหรอกครับ”
ตอนนี้ “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” อยู่ในสายกับเราด้วย ช่วงนี้เหนื่อยมั้ย เพราะมีเรื่องอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวันเลย?
เดชา : “แรกๆ ก็เครียดตอนนี้เริ่มเหมือนตลกแล้ว”
เมื่อวานนี้คุณเต้มาเอาคลิปให้ดู เขามั่นใจแม้แต่วันนี้ก็ตามที่ตำรวจไปหาคนหาปลามาได้ คุณเต้เขาไม่เชื่อ เขาบอกจะรู้ได้ไงเป็นตัวจริงตัวปลอม ทนายเดชาดูคลิปหรือยังว่าเป็นวัตถุหรือเป็นคนที่ลอยอยู่ในน้ำ?
เดชา : “มันเป็นแค่ขอนไม้นะครับ”
แต่ ส.ส. เต้เขามั่นใจนะครับว่าเป็นคน และที่สำคัญที่ไม่ช่วยมันน่ามีอะไรที่เป็นข้อกังขา ทนายเดชามีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร?
เดชา : “เพราะความเชื่อของเขาไงวันนี้เขาก็ต้องเป็นผู้ต้องหาไงครับวันนี้ มันไม่ใช่ มันแค่ขอนไม้(หัวเราะ) มันไม่ใช่คนอยู่แล้วครับ เพราะผมได้ข้อมูลทางลับกับตำรวจครับ”
ส.ส. เต้ เขาบอกว่าคลิปนี้ตำรวจไม่มี มีแต่เขาคนเดียวที่มี?
เดชา : “เขาก็คิดอยู่คนเดียว เขารู้ได้ไงว่าตำรวจไม่มี เคยไปขอดูสำนวนเหรอครับ”
ทนายเดชาบอกว่าเพราะคลิปนี้เลยทำให้เป็นผู้ต้องหา ใครเป็นผู้ต้องหาครับ?
เดชา : “ก็ ส.ส. เต้ก็เป็นแล้วนี่ครับวันนี้ ลุงนิดแกก็เสียหาย ทัวร์ก็ไปลงแกคนไปด่าว่าเป็นคนใจดำเห็นแตงโมกำลังว่ายน้ำอยู่กลางแม่น้ำไม่ช่วยอะไรต่างๆ แกก็ไปแจ้งความแล้ว”
ตอนนี้จากคดีของน้องแตงโมกลายเป็นว่า ส.ส. เต้ โดนตั้งข้อหาก่อนคนบนเรือแล้วเหรอ?
เดชา : “แน่นอนครับ ในกรณีนี้มีผู้เสียหายแล้วและเขาแจ้งความแล้ว”
คุณเต้เขาบอกว่าคนหาปลาน่าจะเป็นตัวปลอม รู้ได้อย่างไรว่าเป็นตัวจริง?
เดชา : “ก็เดี๋ยวไปเจอกันที่ศาลจังหวัดนนทบุรีเพราะสิระเขาประกาศแล้ว รู้สึกว่าจะวันจันทร์นี้ที่ยื่นฟ้อง”
ในมุมของคนที่อยู่ตรงกลางหลายๆ คนเขาสงสัยว่า ถ้าเกิดมีคนสงสัยแล้วหาหลักฐานเพื่อมาหักล้างกับข้อมูลในปัจจุบันแล้วถูกดำเนินคดีแบบนี้มันจะทำให้คนไม่กล้าตั้งข้อสงสัยหรือไม่กล้าเอาข้อมูลหลักฐานมาให้ คดีมันจะมีความเคลือบแคลงมั้ย?
เดชา : “คือคดีนี้อยากจะเตือนสติพวกโซเชียลทั้งหลายนะ เที่ยวไปกล่าวหาคนโน้นคนนี้ โดยที่ไม่มีหลักฐานก็ถูกดำเนินคดี คือการจะไปสงสัยอะไรโดยสุจริตมันทำได้ แต่ในกรณีนี้มันไม่ชัดเจนว่าเป็นคนหรือขอนไม้ แต่เราไปยืนยันกล่าวหา มันก็เข้าองค์ประกอบกฎหมายที่ทำให้คนอื่นเสียหาย มันก็ต้องโดนดำเนินคดีนะครับ”
นั่นหมายความว่าในความเห็นของทนายเดชา ส.ส.เต้ ไม่ได้ทำเรื่องนี้โดยสุจริตเหรอครับ?
เดชา : “ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ผมหมายถึงว่าท่าน ส.ส. ไปพูดแบบนั้นลุงนิดเขาเสียหาย เขาก็ต้องใช้สิทธิทางศาล ถ้า ส.ส. เต้ไม่ได้ทำผิดก็ไปสู้กันที่ศาล ถ้าชนะก็แล้วไปยกฟ้อง ถ้าไม่ชนะก็ติดคุก”
แล้ววันนี้เขาไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วยังครับ?
เดชา : “ยังครับ วันนี้ลุงนิดไปแจ้งความแล้วครับ แล้วก็มีสิระไปเป็นที่ปรึกษากฎหมาย รู้สึกวันจันทร์จะมีการไปฟ้องศาล”
แล้วเรื่องนี้คุณแม่มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ กับการที่ ส.ส. เต้ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี?
เดชา : “คุณแม่ก็ให้ตามสบายเลย ถ้าหาหลักฐานใหม่อะไรได้ถ้าเป็นประโยชน์กับคดีคุณแตงโม คุณแม่ยินดีครับ แต่ถ้าหลักฐานเท็จก็ติดคุกกันไป”
เหมือนว่าตอนนี้หลายฝ่ายบอกว่าเหมือนคุณแม่อยากให้ปิดคดีเร็วๆอันนั้นเป็นเรื่องจริงมั้ยครับ?
เดชา : “คือพวกโซเชียลเนี่ยผมไม่ให้ราคาเลยนะ เพราะมันไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับคดี ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ตำรวจเขารายงานผมทุกวันวันละ 3 เวลา ทุกสิ่งทุกอย่างเขาได้ทำการสืบสวนสอบสวนไว้หมดแล้วครับ แล้ววันๆ ก็ออกมานั่งด่าตำรวจโดยที่ไม่รู้เลยว่าตำรวจเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง น่าจะมีประเทศไทยประเทศเดียวที่มีพฤติกรรมแบบนี้”
ทนายเดชาเองกับคุณแม่ก็ไม่ได้อยากโอนคดีไปให้ DSI ทำงาน?
เดชา : “คือไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณแม่แกไม่อยากให้โอนคดีไป ส่วน DSI ถ้าเขาอยากรับคดีไปเขาก็มีกฎหมายอยู่แล้ว เมื่อเช้าก็คุยกับคุณธนกฤต เลขารัฐมนตรี เขาก็ไม่อยากรับหรอกครับ เพราะ1.คนที่ไปร้องก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย 2.คดีทำจะจบแล้ว เขาไม่ตามกระแสหรอกครับ”
ถ้าสมมติเขาเอาขึ้นมาทางทนายเดชากับคุณแม่จะโอเคมั้ย?
เดชา : “ก็คุณแม่เขาค้านอยู่แล้ว และมันจะเกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กร ผมเชื่อว่าเขาไม่เอาอยู่แล้ว”
เราเชื่อในตำรวจว่าจะหาความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับน้องแตงโมใช่มั้ย?
เดชา : “ใช่ครับ ก็คุยกันทุกวัน อยากรู้อะไรเขาก็บอก อยากดูหลักฐานสลับเรือกระชากผมอะไรต่างๆ เขาก็ทำให้หมด แต่เขาไม่จำเป็นต้องมาบอกโซเชียล”
วันนี้ทางตำรวจได้เอาเรือออก แล้วให้ตำรวจหญิงทำท่าเหมือนนั่งฉี่ แล้วได้เอาเนื้อหมูใส่ลงไปในน้ำให้เหมือนเกิดการบาดเจ็บ ทนายคิดว่ามันไม่ช้าเกินไปเหรอ?
เดชา : “เขาทดสอบมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วครับ แต่เขาไม่จำเป็นต้องบอกโซเชียล เขาบอกผมบอกแม่น้องแตงโมที่เป็นผู้เสียหาย มันเป็นความลับในสำนวนไม่จำเป็นต้องบอกใคร”
วันนี้พี่รัชพลไปแจ้งตำรวจว่าให้ตรวจสารเสพติดของคนบนเรือที่ยังไม่ได้ตรวจ ในมุมมองของพี่เดชามันมีความจำเป็นหรือสำนวนมันจะเปลี่ยนมั้ย?
เดชา : “ก็เป็นสิทธิของเขานะ เขาจะไปร้องทุกข์กล่าวโทษอะไร ทุกคนก็มีสิทธิหมด เพราะว่ามันเป็นคดีอาญาแผ่นดินนะ แต่ว่าเรื่องนี้ผมได้คุยกับท่านผู้กำกับแล้วว่ากรณีที่รัชพลไปแจ้งความเป็นยังไง ผู้กำกับบอกว่ามันต้องมีเหตุอันสมควรก่อนว่าสงสัยยังไง เช่นคนขับเรือเมาหรือเปล่า เสพยามั้ยอะไรต่างๆ ข้อเท็จจริงตอนนั้นเขาบอกว่ามันยังไม่มี พอไม่มีเขาก็เลยไม่มีการตรวจสารเสพติด อันนี้เป็นคำชี้แจงจากผู้กำกับ สภ.นนทบุรี ไม่ใช่ผมนะ”
นั่นหมายความว่าผู้กำกับจะไม่กระทำการตามที่ทนายรัชพลขอเหรอ?
เดชา : “อันนี้ผมไม่ได้ถามลึกขนาดนั้น รัชพลก็รู้จักกับผมดีผมเลยโทรไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่ตรวจ แล้ววันแรกๆ คดีนี้มันยังไม่ได้มีการยึดเรือยึดอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นเขาบอกว่ามันไม่มีเหตุอันสมควร”
พี่รัชพลคิดว่าสำหรับพี่มันสมควรยังไง?
รัชพล : “ผมรอหนังสือตอบกลับก่อนนะครับ ผมเห็นว่ามีคนตายผมเลยสงสัยเฉยๆ ว่าทำไมตรวจ 3 คน แล้วทำไมอีก 2 คนไม่ตรวจ ผมก็สงสัย แล้วก็อยากรู้คำตอบเพราะผมคิดว่าสังคมก็อยากรู้ว่าทำไมไม่ตรวจแล้วไม่ผิดกฎหมายเหรอ”
ในมุมของพี่ถ้าเกิดตรวจแล้วเจอหรือตรวจแล้วไม่เจอมันมีผลอย่างไรครับ?
รัชพล : “คือถ้าในเรืองของยาเสพติดถ้าศาลพิจารณา ถ้าขับเรือแล้วประมาทเฉยๆ ก็อาจรอลงอาญา แต่ถ้าประมาทแล้วเสพยาด้วยศาลก็อาจลงโทษให้จำคุกจริงๆ ก็ได้นะครับ อาจไม่รอลงอาญา มันก็มีผลตรงนี้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีผลกับคดีฆาตกรรมอะไร”
พี่เดชาบอกว่าเรื่องนี้ถ้าจบจะต้องมีคนติดคุก คนๆ นั้นคือใครครับ?
เดชา : “ติดคุกก็คือผู้ต้องหาไงครับ ตำรวจเขามั่นใจว่าสามารถเอาผิดได้นะครับ”
ที่ทนายเดชาบอกว่ามีเซอร์ไพร์สคืออะไรครับ?
เดชา : “คือผมได้รับรายงานจากตำรวจนะครับว่าตอนนี้เขาก็ทดสอบอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็นิติวิทยาศาสตร์พวกชิ้นเนื้ออะไรต่างๆ มันใกล้จะเสร็จแล้ว มันอาจต้องมีผู้ต้องหาเพิ่มอีกสัก 2 คนอะไรประมาณนี้ครับ อาจจะนะครับ”
ในตอนแรกบอกว่าหลักฐานต่างๆ เทไปทางอุบัติเหตุซึ่งคุณแม่ก็เห็นด้วยแล้วทำไมมันถึงมีตัวละครที่จะต้องเข้าไปอยู่ในคุกเยอะขนาดนั้น?
เดชา : “ก็คดีประมาทถึงแม้จะประมาทร่วมไม่ได้ แต่มันก็ประมาทหลายคนได้นะครับถึงแม้จะเป็นข้อหาเดิม เขาเรียกต่างคนต่างประมาท”
นั่นหมายความว่าคนที่มีโอกาสจะติดคุกมากที่สุดคือ โรเบิร์ตกับปอเหรอครับ?
เดชา : “อย่าไปพูดแบบนั้นเดี๋ยวเขาก็ฟ้องผม เขายิ่งขู่อยู่ เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งสองคนเป็นผู้ต้องหาอยู่ แต่เป็นผู้บริสุทธิ์ หมายถึงว่าคนอื่นๆ ก็อาจโดนข้อหาแบบนี้ก็ได้ แล้วก็อาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จก็ได้ ทำลายพยานหลักฐานก็ได้นะครับ”
สำหรับทนายเดชาคิดว่าจะติดคุกกี่เปอร์เซ็นต์ครับ?
เดชา : ” (หัวเราะ)คืออย่างนี้ตอนนี้ตำรวจเขาทำงานเต็มที่ และฐานความผิดที่เขาแจ้งข้อหาไปแล้วเราก็พยายาม และตำรวจก็มั่นใจว่าสามารถจะเอาผิดผู้กระทำความผิดได้นะครับ ชนะหรือแพ้มันต้องไปสู้กันในชั้นศาลนะครับ ยังตอบไม่ได้”
เครื่องจับเท็จจำเป็นมั้ย เพราะคนในสังคมอยากให้เอาทั้ง 5 คนเข้าเครื่องจับเท็จ?
เดชา : “จับพวกโซเชียลเข้าเครื่องจับเท็จก่อนดีมั้ย ผมไม่เคยให้ราคาพวกนี้เลย ผมว่าท่านผู้บัญชาการเขาพูดชัดแล้วนะ ถ้าพนักงานสอบสวนเชื่อว่าคนที่อยู่บนเรือโกหกแล้วมันก็ไม่มีราคาไม่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์อยู่แล้วในหลักกฎหมาย จะไปเข้าให้เปลืองไฟทำไม”
แต่คุณแม่บอกว่าอยากให้จับเท็จ แซน จ๊อบ กระติก 3 คน?
เดชา : “ก็เป็นความประสงค์ของคุณแม่ ส่วนพนักงานสอบสวนจะทำให้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา คุณแม่ไม่ใช่เป็นพนักงานสอบสวนนะ คุณแม่ฟังอยู่หรือเปล่า”
ทนายเป็นทนายของคุณแม่ คุณแม่อยากให้ทำ ทนายไม่ต้องไปวิ่งเต้นทำให้เกิดขึ้นเหรอครับ?
เดชา : “ผมไม่ต้องไปวิ่งหรอก แค่ยกหูไปเขาก็ทำให้ แต่ปัญหามันคือเราจะทำไปเพื่ออะไรในเมื่อพนักงานสอบสวนมีความเชื่อว่าไม่เชื่อคำให้การของพวกที่อยู่บนเรือแล้วมันก็ไม่มีราคาแล้วไง”
ทนายคนก่อนขัดใจแม่ก็ไม่มีที่อยู่ไปแล้วนะ พี่เดชาจะขัดใจแม่อีกเหรอ?
เดชา : ” (หัวเราะ) คืออย่างนี้สมมติว่าคุณแม่อยากจะเอาเข้าเครื่อง ผมก็ให้ลูกน้องไปรับตัวมาพบตำรวจเดี๋ยวตำรวจเขาจะชี้แจงเองแหละ คุณแม่ขอมาหลายเรื่องผมไม่เห็นด้วยก็มีนะ”
ในมุมมองของพี่รัชพลคิดว่าเรื่องนี้ต้องเข้าเครื่องจับเท็จมั้ย?
รัชพล : “ผมไม่รู้นะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเขามีพยานหลักฐานแค่ไหน ถ้าเขามีเพียงพอแล้วพอที่จะตอบได้ว่าพูดจริงพูดเท็จมันก็ไม่จำเป็น แต่ถ้ามีไม่พอแล้วจะหาเพิ่มและไม่รู้จะหาจากอะไรจะหาจากเครื่องจับเท็จก็สามารถที่จะทำได้”
ในการขึ้นศาลหลักฐานจากเครื่องจับเท็จมันมีเปอร์เซ็นต์ที่จะใช้ในศาลได้มากน้อยแค่ไหน?
รัชพล : “มันใช้มาประกอบได้นะครับในคดี แต่จะให้ฟันธงเลยมันไม่ได้นะครับ ศาลไม่ใช้อยู่แล้วตรงนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดตำรวจเอาเข้าเครื่องจับเท็จแล้วมาระกอบในคดีมันก็สามารถที่จะทำได้”
ผมได้ยินมาว่าทางฝั่งคุณปอกับคุณโรเบิร์ตเขาเปลี่ยนทนายมา 4 ชุดแล้ว?
เดชา : “ก็เป็นข่าวเชิงลึกในด้านงานข่าวนะ การเปลี่ยนทนายมันเป็นเรื่องปกตินะสำหรับวิชาชีพทนายความ ถ้าคิดว่าคนที่ 1 ดูแล้วไม่พอใจเขาก็เปลี่ยน เขาก็ต้องมั่นใจว่าจ้างคนนี้แล้วความรู้ความสามารถต่างๆ จะช่วยเขารอดคุกได้มั้ย ถ้าคนไหนที่ดูแล้วลูกความได้ประโยชน์ก็เลือกคนนั้น”
เท่าที่ดูการออกมาเรียกร้องของพี่รัชพล พี่ยังไม่มีข้อสงสัยแตกต่างกับพี่เดชาที่เอนไปทางอุบัติเหตุ แต่ของพี่คิดว่ามันมีลับลมคมในมากกว่านั้นใช่มั้ย?
รัชพล : “คือเท่าที่มองจากการตรวจบาดแผลมันก็ไม่มีนะครับ เอาขวดไวน์ฟาดอะไรอันนี้คงไม่มีหรอกมันเกินไป แต่ที่จะเป็นไปได้ที่ผมตั้งสมมติฐานไว้อย่างนึงคือคุณแตงโมไม่ได้รู้จัก 2 คนนั้นมาก่อน ผมไม่รู้ว่ามีการจีบกันบนเรือหรือเปล่าหรือมีเรื่องอะไร เพราะเขาไม่รู้จักกัน แล้วตามข่าวเวลาไปนั่งร้านอาหารคุณแตงโมไปนั่งแล้วก็มีกระเป๋าคั่น ก็อาจเกิดการรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยหรือระแวงอะไรหรือเปล่า อาจมองได้ว่ามันเป็นมูลเหตุอะไรทำให้ทะเลาะกันบนเรือหรือเปล่า แล้วพอมาถึงบนเรือสิ่งที่จะเป็นไปได้ของการทำร้ายอาจมีการขับเรือ เจตนากระชากเรือให้เขาล้มแล้วบังเอิญตกเรือเสียชีวิต อันนี้มุมมองของผมที่ตั้งข้อสงสัยนะครับ”
เรื่องการที่จะนำศพของน้องแตงโมไปพิสูจน์ที่ธรรมศาสตร์แล้วอยู่ๆ วนรถกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่องแบบนี้มันมีข้อสงสัย พี่เดชาพอจะตอบให้เราหายสงสัยได้มั้ย?
เดชา : “ผมถามท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และคุณแม่แล้วนะ มันมี 2 เหตุผล เหตุผลแรกเป็นเรื่องจริงที่กำลังจะหันหัวรถไปทางธรรมศาสตร์อันนี้เรื่องจริง แต่ที่ต้องกลับมาที่โรงพักเพราะคุณแม่จะขอดูศพ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาไม่ให้ดู แต่ทางผู้กำกับอยากให้คุณแม่ดูก็เลยวนรถกลับมาที่โรงพัก เหตุที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงผมเป็นทางการว่าการที่มีคดีอาญาเกิดขึ้นการที่จะผ่าศพเขามีหน่วยงานของเขาอยู่แล้วที่เรียกว่านิติเวชตำรวจไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าจะต้องไปใช้บริการนิติวิทยาศาสตร์ต้องขออนุญาตมันจะมีความยุ่งยากกว่า”
รัชพล : “นี่เป็นรายการแรกเลยนะที่ถามแล้วได้คำตอบนี้มา”
แล้วสำหรับใบพัดเรือที่เอาเนื้อหมูลงไปพี่เดชาได้เห็นสภาพเนื้อหมูมั้ยว่าแตกต่างกับภาพถ่ายที่พี่เดชาได้ดูมั้ย?
เดชา : “ผมก็พอจะทราบผลนะ แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผยเพราะรอสรุป ผู้เชี่ยวชาญก็จะทำรายงานอย่างเป็นทางการนะครับ”
หมายความว่าถ้าได้ผลมาประกอบกับหลักฐานที่เกิดขึ้นใหม่ คดีนี้จะสามารถปิดได้ในเร็ววันนี้หรือเปล่าครับ?
เดชา : “ก็ไม่น่าจะเกิน 2 สัปดาห์นะ พูดง่ายๆ คือต้องรอการผ่ารอบ 2 จากนิติวิทยาศาสตร์”
แล้วไม่ทราบว่าข้อมูลที่พี่เดชาได้ตรงกับคุณหมอพรทิพย์มั้ย?
เดชา : “พอพูดถึงคุณหมอพรทิพย์ที่ไปออกรายการอะไรบอกว่าผมเคยโทรหาเขา ผมไม่เคยโทรหานะครับ เพราะฉะนั้นการที่ใครไปเดามั่วบอกว่าผมโทรไปขู่ ผมไม่เคยโทรไปนะครับ”
ผมสงสัยว่าคุณหมอเป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่แรกว่าน่าจะตายน้ำตื้น น่าจะมีการชันสูตรพลิกศพ แล้วพอคุณหมอได้เข้าไปในกระบวนการอยู่ๆ เปลี่ยนคำพูด คนหลายคนสงสัยว่ามันมีอิทธิพลมืด มันมีอะไรทำให้คุณหมอเปลี่ยนไปหรือเปล่า?
เดชา : “แล้วคุณคิดว่าคุณหมอพรทิพย์ใครจะไปขู่แกได้ แกไม่ใช่คนกระจอกโนเนมนะ ดุประวัติที่ผ่านมาแกเป็น สว. นะ ไม่มีใครไปขู่แกหรอก แล้วผมก็ไม่เคยคุยกับแกด้วย ตั้งแต่มีเรื่องกันก็ยอมรับว่ามีการนัดหมายไปเจอกันแต่ผมก็ไม่ได้ไปพบครับ ไม่เคยคุย”
อยากฝากอะไรไปถึงคุณหมอพรทิพย์ครับ?
เดชา : “โอ้ย ผมให้เกียรติอาจารย์หมอตลอด เจอกี่ช่องผมก็ทักทาย อาจารย์หมอก็เคยให้ข้อคิดคุณแม่เป็นประจำ ผมเคารพอยู่แล้ว ไม่มีอะไร”
คนที่เข้ามาทำในคดีนี้ตอนแรกเห็นต่างหมดเลย บางคนบอกว่าเห็นหลักฐานก็เลยเปลี่ยน บางคนบอกไม่ใช่หรอกเห็นเงินเห็นทอง เห็นการก้าวหน้าในอาชีพก็เลยเปลี่ยนความคิดทนายเดชาก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกกล่าวหา อยากจะบอกอะไรมั้ย?
เดชา : “คือมีปากก็พูดไปเรื่อย พอจะถูกดำเนินคดีก็เที่ยวไปกราบเท้ากราบอะไรเขา ผมไม่เคยได้รับเงินที่ไหน เลขบัญชีก็มีจะตรวจสอบมั้ย เดี๋ยวให้ดู แล้วก็คนที่เขาเปลี่ยนอย่างผมซึ่งไปพบท่านผู้บัญชาการ ท่านคณะกรรมการการสอบสวน นิติเวชตำรวจ เราเห็นหลักฐานแล้วเราก็ต้องเปลี่ยนสิ มันไม่ใช่ แต่ถ้าเราอยู่ข้างนอกพวกโซเชียลมันก็มโนกันไปแต่ละวัน แต่ถ้าเราเข้าไปเห็นมันก็ต้องเปลี่ยน อย่างเช่น ฟันหักถ้าเราไปเห็นแล้วว่ามันไม่หัก แล้วเราจะบอกว่าหักได้ไง อย่างอาจารย์หมอพรทิพย์ตอนแรกแกก็แรง แต่พอไปคุยกับหมอปี๊บคือคนที่ผ่า คุยเรียบร้อยพอดูภาพดูอะไร อาจารย์หมอ ก็ต้องเปลี่ยนเพราะสิ่งที่แกคิดมันไม่ตรงกัน ก็เหมือนกับทุกวันนี้ที่โซเชียลบอกว่าตำรวจไม่ทำอะไรเลย เขาทำไปหมดแล้ว ด่าไปเรื่อย ผมกลัวจะเป็นมะเร็งพวกโซเชียล”
เรื่องนี้ทนายรัชพลคิดว่ามันจะจบยังไง?
รัชพล : “ผมมองว่าทางตำรวจเขาจะมองว่าเป็นเรื่องของการประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ว่าตำรวจต้องตอบให้ได้ว่าแตงโมตกไปยังไง แต่ยังไงถ้าบอกว่าฉี่มันเป็นเรื่องที่คาใจของคนในสังคมอยู่”
เดชา : “คดีนี้ก็มีความเห็นควรสั่งฟ้อง 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แล้วก็ส่งอัยการ อัยการก็ฟ้อง ไปสู้กันที่ศาลใครแพ้ชนะก็แล้วแต่ศาลตัดสิน”
คิดว่ามีคนติดคุกแน่นอน?
เดชา : “ก็เราก็เชื่อมั่นการทำงานของตำรวจว่าพยานหลักฐานแน่นหนาเพียงพอ ผมเชื่อมั่นนะครับ”