ก.แรงงาน จับมือแกร็บ พัฒนาสกิลไรเดอร์ สร้างบริการประทับใจ ก.แรงงาน ผนึก บ.แกร็บแท็กซี่ มุ่งพัฒนานักขับ เสริมทักษะอาชีพ เข้าถึงสิทธิประกันสังคม สร้างบริการประทับใจ
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทักษะและการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารสาธารณะ (แท็กซี่) ผู้จัดส่งอาหาร และผู้จัดส่งพัสดุ ระหว่างนายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวนันทินี ทรัพย์ศิริ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ สำนักงานประกันสังคม และ นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ณ ห้องประชุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังจากการเป็นประธานงานดังกล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายในการพัฒนาประเทศให้ก้าวข้างหน้า โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพแรงงานเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะฝีมือในทุกระดับ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ มีสวัสดิการต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ที่ต้องการพัฒนาทักษะอาชีพให้แก่ผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารสาธารณะ (แท็กซี) ผู้จัดส่งอาหาร และผู้จัดส่งพัสดุ ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการประกันสังคม
นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ซึ่งอาชีพเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการใช้ยานพาหนะทั้งรถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนบุคคล รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อขนส่งประชาชน สิ่งของ เอกสารและอาหารให้กับผู้คนในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด การใช้บริการมักดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ จึงจำเป็นต้องมีทักษะด้านขับขี่ การให้บริการประชาชนและลูกค้า การติดต่อสื่อสาร การใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ทั้งสามหน่วยงานจึงร่วมกันพัฒนาทักษะดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงสิทธิด้านประกันสังคม ใช้แนวทางการพัฒนาทักษะคอร์สอบรมออนไลน์ผ่านโครงการ GrabAcademy และ DSD Online Training มีหลักสูตรนำร่องจำนวน 4 หลักสูตร ได้แก่ ความรู้เบื้องต้นเรื่องรถไฟฟ้า ภาษาอังกฤษเพื่อคนขับ ภาษาจีนเพื่อคนขับ และความรู้เกี่ยวกับประกันสังคมสำหรับอาชีพอิสระ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป และหากสนใจหลักสูตรอื่นๆ เช่น ช่างตัดผมชาย การประกอบอาหารเพื่อการค้า บาริสต้ามืออาชีพ ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น สามารถเข้ารับการฝึกอบรมกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดในการสร้างอาชีพและมีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย การให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันสังคม ส่งเสริมให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แนะนำช่องทางการชำระเงินสมทบบนแพลตฟอร์มดิจิทัล
“ความร่วมมือครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกลุ่มอาชีพเหล่านี้ เนื่องจากเป็นแรงงานอิสระโดยประเทศไทยมีแรงงานอิสระกว่าร้อยละ 52 การพัฒนาทักษะฝีมือช่วยให้การประกอบอาชีพดีขึ้น สามารถบริการประชาชนได้ประทับใจ เข้าถึงรายได้มากขึ้น เป็นส่วนสำคัญเสริมความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย”
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน รวมถึงก่อให้เกิดการทำงานในรูปแบบใหม่ๆ มากมาย เช่นเดียวกับธุรกิจแพลตฟอร์มอย่างแกร็บที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันเพื่อเป็นช่องทางในการหารายได้ ด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์คนขับที่ให้บริการเรียกรถ หรือบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ โดยปัจจุบันมีคนไทยนับหลายแสนคนที่เห็นประโยชน์และเลือกเข้ามาประกอบอาชีพอิสระผ่านแกร็บ ทั้งนี้ ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการให้บริการอย่างต่อเนื่อง แกร็บยังได้ริเริ่มและพัฒนาสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการทำงานให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและสร้างมาตรฐานให้กับการทำงานในรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองตลอดการให้บริการ การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน เช่น สินเชื่อรายวันหรือการผ่อนชำระสินค้า รวมไปถึงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้วยการจัดทำคอร์สอบรมความรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นผ่านโครงการ GrabAcademy เป็นต้น
“การผนึกความร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานประกันสังคมในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของแกร็บในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพาร์ทเนอร์คนขับในประเทศไทย โดยเราพร้อมมีส่วนในการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะด้านอาชีพและศักยภาพแรงงาน ตลอดจนการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประกันสังคมของผู้ประกันตน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างหลักประกันในการทำงานตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน”