นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นถึงกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช แจ้งผลการพิจารณาที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ว่า ตามที่นายเรืองไกร ได้ขอให้พิจารณาชี้มูลความผิด พล.อ.ประวิตร ฐานไม่แจ้งทรัพย์สินในมูลค่านาฬิกาหรูที่ยืมมา
ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เจ้าของนาฬิกา ให้ พล.อ.ประวิตร ยืมใช้ในโอกาสต่างๆ และ พล.อ.ประวิตร คืนให้เมื่อใช้เสร็จ การยืมดังกล่าวเป็นการยืมใช้คงรูป และการยืมใช้คงรูปแม้เป็นหนี้ แต่มิใช่หนี้สินตามที่ ป.ป.ช. กำหนดให้ต้องแสดงในแบบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ว่า กรณีนี้ทำให้เห็นว่า ประชาชนไม่อาจไว้วางใจองค์กรอิสระที่ตรวจสอบการคอรัปชั่นได้อีกแล้ว สภาฯ จึงต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบผู้มีอำนาจอย่างเข้มเข้น “กรณีนาฬิกาเพื่อนพล.อ.ประวิตร นั้น ทำให้เกิดความกังขา ต่อการตรวจสอบขององค์กรอิสระ จนไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้อีกแล้ว ยกตัวอย่าง หากผมอยากจะอภิปราย พล.อ. ท่านหนึ่ง แต่มี พรรคการเมืองมาพูดคุยบอกว่า อย่าอภิปราย พล.อ.ท่านนี้ ถ้าผมตอบตกลงว่าจะไม่อภิปราย แล้วให้ทรัพย์บางอย่างกับผม วันหนึ่งมีการตรวจสอบพบว่ามีทรัพย์สิน แล้วไม่ได้รายงานบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช. ผมก็แค่เพียงต่อว่าผมยืมมา แค่นี้ถือว่าจบใช่หรือไม่”
นายรังสิมันต์ ยังเปรียบเทียบอีกว่าในคดีมีกรณียืมรถยนต์ ป.ป.ช.เคยชี้มูลความผิดและส่งต่อยังศาล ถือว่าเป็นบรรทัดฐานของสังคม แต่ เมื่อคดีของ พล.อ.ประวิตร ป.ป.ช.กลับไม่ชี้มูล แบบนี้ ประชาชนจะไว้ใจการตรวจสอบขององค์กรอิสระได้อย่างไร ที่รัฐสภา (เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563)