ส่อพิรุธ! ขบวนการปลุกผี ITV แผนสกัด “พิธา” เป็นนายกฯ หลังสื่อดังเปิดคลิปประชุม “หุ้น itv” ไม่ตรงเอกสาร

เกิดเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอีกรอบ เมื่อสื่อดัง “ข่าว 3 มิติ” โดย แยม ฐปนีย์ เปิดคลิปประชุม ‘หุ้นitv’ ที่ปรากฎคลิปเสียงบางช่วงพูดไม่ตรงกับเอกสารที่ออกมาก่อนหน้านี้ ‘ชัยธวัช’เลขาฯพรรคก้าวไกล ชี้พบข้อพิรุธมากมาย ที่ทำกันเป็นขบวนการเพื่อสกัด ‘พิธา’ ไม่ให้เป็น นายกฯ

สืบเนื่องจาก รายการข่าวสามมิติ โดย ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าว 3 มิติ ซึ่งเป็นอดีตนักข่าวไอทีวีมาก่อน ได้รายงานข่าวพร้อมเผยแพร่คลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ที่ปรากฎคลิปเสียงของ นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานกรรมการบริษัท ซึ่งไม่ตรงกับเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า ‘ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ’

โดยคลิปของทีม ข่าว 3 มิติ ระบุว่า ได้มีการลบไฟล์ออกภายหลัง และทีมข่าวได้รับข้อมูลมาจากหนึ่งในผู้ถือหุ้น ITV ที่เข้าร่วมประชุมสามัญประจำปีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ซึ่งเกิดขึ้นหลังการรับสมัครเลือกตั้ง ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ถือหุ้น ได้ถามในที่ประชุมว่า “มีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีไหมครับ” จากนั้น นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ” จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า เอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ทำไมจึงมีการบันทึกไม่ตรงกับคลิปการประชุมชนิดตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล หลังการเผยแพร่คลิปส่อพิรุธนี้ในรายการข่าว 3 มิติ (คืนวันที่ 11 มิ.ย.) โดยในวันที่ 12 มิถุนายน 2566 เวลา 11.46 น. ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้แถลงถึงกรณีคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของ บมจ.ไอทีวี กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการไม่ตรงกันว่า กรณีดังกล่าวมีนัยยะสำคัญ 2 ประการ ดังนี้ 1.ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท ในประเด็นที่ว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล

“หลังจากมีการจัดทำรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ออกมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ก็ได้นำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566” นายชัยธวัชกล่าว

นายชัยธวัชกล่าวว่า ก่อนที่นายเรืองไกรจะไปยื่นร้องต่อ กกต.นั้น นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กของตนเองเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 ก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทไอทีวี 2 วันว่า “นักการเมืองที่กำลังถือหุ้น ITV เตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต.ด้วยนะครับ หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น”

โพสต์ดังกล่าวทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่า มีการวางแผนจะให้นายภานุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นไอทีวีที่รับโอนหุ้นมาจากนายนิกม์ และยังเป็นผู้จัดการคลินิกของครอบครัวของนายนิกม์ด้วยนั้น ตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี เพื่อต้องการให้ผู้บริหารของไอทีวีตอบว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ แต่เมื่อนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ตอบคำถามในที่ประชุมว่า “ตอนนี้ไอทีวียังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ” ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่า ปัจจุบันไอทีวียังดำเนินกิจการสื่ออยู่ ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ และถือเป็นการทำผิดกฎหมายอีกหลายฉบับ ใช่หรือไม่

นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัทไอทีวี

เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัทไอทีวี รวมทั้งนายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ชัดเจน ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นายจิตชาย กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุมนั้น ยังเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมายและเลขานุการบริษัทของ บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไอทีวีอีกด้วย ทำให้มีคำถามว่า บริษัท อินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมด้วยหรือไม่?

นายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุม และมีตำแหน่งผู้บริหารสายงานกฎหมาย & เลขานุการบริษัทของ บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์

ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหนึ่งในข้อพิรุธที่นายพิธาได้เคยตั้งคำถามไว้ว่า นี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชนผ่านการเลือกตั้งใช่หรือไม่ ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส.ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีความผิดตาม ม.143 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

นายชัยธวัชกล่าวว่า 2.ความขัดแย้งกันระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 กับแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 และเอกสารงบฯไตรมาสแรกปี 2566 ของไอทีวี

ข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง หากพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขในบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของไอทีวี กล่าวคือ แก้ไขคำตอบของนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในที่ประชุม ต่อนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน จาก “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ” กลายเป็น “ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ” นั้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ “แบบนำส่งงบการเงิน” (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ก่อนวันเลือกตั้ง 4 วัน และเป็นวันเดียวกับที่นายเรืองไกรไปยื่นร้องต่อ กกต.หรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณา “แบบนำส่งงบการเงิน” (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

จะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจว่า “สื่อโทรทัศน์” และระบุสินค้า/บริการว่า “สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน”  จากเดิมที่เอกสารงบการเงิน (ส.บช.3) ของไอทีวีในปีบัญชี 2561-2562 ระบุประเภทธุรกิจว่า “กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก” แล้วในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่า “สื่อโทรทัศน์” โดยในส่วนสินค้า/บริการ ระบุว่า “ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ”

การเปลี่ยนแปลงข้อความในแบบนำส่งงบการเงินครั้งหลังสุดของไอทีวีดังกล่าว ขัดแย้งกับการตอบของนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 26 เมษายน 2566 ต่อข้อซักถามอีกข้อหนึ่งที่ว่า “หากคดีความต่าง ๆ จบสิ้นเรียบร้อย บริษัทจะมีปันผลไหม บริษัทจะมีแผนการดำเนินงานธุรกิจต่อไป หรือจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯอีกหรือเปล่า บริษัทจะมีแผนชำระบัญชี หรือกิจการคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่”

“ที่บอกว่าขัดแย้งกัน เพราะนายคิมห์ได้ตอบข้อซักถามดังกล่าวว่า ‘ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่เราจะดำเนินการใด ๆ กับไอทีวี ณ ขณะนี้นะครับ อย่างในอดีตที่ผ่านมา เราก็ได้มีการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาดู option ต่าง ๆ ทางเลือกต่าง ๆ ก็ยังไม่มีทางเลือกใด ๆ ที่เหมาะสม ณ ขณะนี้

ฉะนั้น ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องรอผลของคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้วทางบริษัทก็จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับทางผู้ถือหุ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณา จะจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่ อย่างไร หรือจะชำระบัญชี อะไรยังไง ทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปนะครับ’ ” นายชัยธวัชอ้างคำพูดของนายคิมห์

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า คำตอบของนายคิมห์ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 26 เมษายน 2566 นายคิมห์ สิริทวีชัย ในฐานะประธานที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นและประธานกรรมการบริษัท มิได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่าไอทีวีประกอบกิจการ “สื่อโทรทัศน์” และมีรายได้จาก “สื่อโฆษณา” แต่อย่างใด

แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่า แบบนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ที่ไอทีวีนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 จะระบุว่า รายได้ของไอทีวีในรอบปี 2565 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยมีสินค้า/บริการ คือ “สื่อโฆษณา” มิพักต้องกล่าวถึงกรณีที่นายคิมห์ได้ตอบผู้ถือหุ้นถึงแนวโน้มที่จะมีการชำระบัญชี ปิดบริษัทหลังจากทราบผลของคดีด้วยซ้ำ

จากข้อพิรุธนี้ ยังทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบฯแสดงฐานะการเงินไตรมาส 1/2566 ของไอทีวี เพราะในหมายเหตุประกอบงบการเงินงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 หน้าสุดท้ายมีการระบุว่า “เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทมีการนำเสนอการลงสื่อให้กับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา จากการที่บริษัทได้มีการให้บริการแก่บริษัทในกลุ่มข้างต้น บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ของปี 2566”

คำถามคือว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ไอทีวีจะมีรายได้จากการเป็น “ผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา” ในช่วงไตรมาสที่ 2/2566 โดยวันประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2566 ซึ่งก็อยู่ในช่วงไตรมาส 2/2566 ที่เป็นช่วงเวลาที่มีการรายงานงบฯแสดงฐานะการเงินไตรมาส 1/2566 นายคิมห์กลับตอบคำถามว่าบริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ต้องรอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน

และเป็นไปได้อย่างไรว่า หลังจากประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายนแล้ว ซึ่งประธานในที่ประชุมบริษัทไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสื่อ แต่ในหมายเหตุประกอบงบการเงินสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 กลับไประบุว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้โฆษณาลงสื่อโฆษณา จากการที่บริษัทได้มีการให้บริการแก่บริษัทในกลุ่มข้างต้น บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ของปี 2566”

ซึ่งข้อความดังกล่าวขัดแย้งต่อกับสิ่งที่นายคิมห์กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจน เพราะถ้าไอทีวีมีแผนธุรกิจดังกล่าวจริง นายคิมห์ย่อมต้องแจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน ถึงความเป็นไปได้ในการมีแผนธุรกิจใหม่แล้ว แต่ปรากฏว่าหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน คือวันที่ 28 เมษายน 2566 คณะกรรมการบริษัทมีมติรับทราบ “แผนธุรกิจใหม่” ในช่วงไตรมาสที่ 2/2566

และบริษัทจะรับรู้รายได้ในไตรมาสเดียวกันทันที ซึ่งผิดวิสัยเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น 2 วัน นายคิมห์ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่เคยรับทราบความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจการใด ๆ และยังให้ข้อมูลตอบผู้ถือหุ้นว่า จนกว่าคดีจะถึงที่สุด เป็นไปได้ยากมากที่บริษัทจะดำเนินการใดๆ จึงเห็นได้ว่าในแง่พฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และช่วงระยะเวลาการเสนอแผนธุรกิจ รวมถึงการรับรู้รายได้จากแผนธุรกิจใหม่ มีความไม่สอดคล้องกันและขัดแย้งกันเองเป็นอย่างยิ่ง

การดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในบันทึกรายงานการประชุมดังกล่าวให้แตกต่างจากการตอบข้อซักถามตามคลิปการประชุมจึงไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดโดยบังเอิญ หรือเป็นการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมตามแบบแผนปกติ หากแต่เมื่อวิญญูชนได้ทราบถึงพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว ย่อมเกิดข้อสงสัยได้ว่า เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่าง ๆ ที่ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลังหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า 3.สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชน ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยให้ได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า “ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” นายชัยธวัช ตอบว่า เร็วเกินไปที่จะกล่าวหา แต่ประชาชนคาดการณ์ได้ว่าใครเกี่ยวข้อง ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีพรรคการเมืองเกี่ยวข้องเรื่องนี้หรือไม่ นายชัยธวัชตอบว่า ไม่ทราบ

ส่วนกรณีที่ กกต.อาจจะดำเนินคดีกับนายพิธาในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.นั้น นายชัยธวัชกล่าวว่า “พรรคก้าวไกลมั่นใจว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ เช่นเดียวกับที่อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ในคดีหุ้นวีลัค”

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *