สำรวจความลับของ “แอตแลนติก” มหาสมุทรสุดลึกเร้น ที่กลืน 5 ชีวิตจากเรือดำน้ำไททัน

ข่าวการสูญเสียผู้โดยสารจาก “เรือดำน้ำไททัน” ของบริษัท Ocean Gate ระหว่างที่พาทัวร์ดิ่งลึกลงใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อสำรวจซากเรือไททานิค เมื่อวันอาทิตย์ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ชื่อของ “มหาสมุทรแอตแลนติก” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่เคยสร้างตำนานและสถิติมากมายทั้งเรื่องราวของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา, หมู่เกาะที่สวยที่สุด, วาฬพันธุ์หายากที่สุดในโลก, แหล่งสมบัติใต้ทะเล เป็นต้น

นี่จึงเป็นที่มาของ “16 ข้อเท็จจริง เรื่องน่ารู้ และความลับของมหาสมุทรแอตแลนติก” ลองมาสำรวจกัน!

  1. มหาสมุทรแอตแลนติกก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 180 ล้านปีที่แล้ว
  2. มหาสมุทรแอตแลนติกมีอาณาบริเวณพื้นที่จากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลไปจนถึงแอนตาร์กติกา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของพื้นผิวโลก มีพรมแดนติดกับทวีปอเมริกาเหนือและใต้ทางทิศตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกาทางทิศตะวันออก มีพื้นที่มากกว่า 41 ล้านตารางไมล์ ถือเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากมหาสมุทรแปซิฟิก

3. ชื่อของมหาสมุทรแอตแลนติก มีที่มาจากนิยายปรัมปรากรีก หมายถึง “ทะเลของแอตลาส” นักวิทยาศาสตร์และนักภูมิศาสตร์แบ่งมหาสมุทรแอตแลนติกจากสองทิศคือ เหนือกับใต้ เป็นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและแอตแลนติกใต้ ซึ่งแต่ละโซนจะมีกระแสน้ำในมหาสมุทรที่แตกต่างกัน ซึ่งมีอิทธิพลต่อสภาพอากาศทั่วโลก

4. เนื่องจากมหาสมุทรแอตแลนติกเชื่อมต่อสี่ทวีปของโลก จึงมักใช้เรือเพื่อการขนส่งทางทะเล เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ได้แก่ รอตเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) ฮัมบูร์ก (เยอรมนี) นิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา) บัวโนสไอเรส (อาร์เจนตินา) และโกลอน (ปานามา) เมืองใหญ่อื่น ๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติก ได้แก่ ไมอามี (สหรัฐอเมริกา) เซาท์เปาโล (บราซิล) ลากอส (ไนจีเรีย) เคปทาวน์ (แอฟริกาใต้) คาซาบลังกา (โมร็อกโก) ลิสบอน (โปรตุเกส) ลอนดอน (สหราชอาณาจักร) และ เรคยาวิก ( ไอซ์แลนด์)

5. มีเกาะมากมายในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ บาฮามาส หมู่เกาะคานารี (สเปน) หมู่เกาะอะซอเรส (โปรตุเกส) หมู่เกาะเคปเวิร์ด และ กรีนแลนด์ (ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น แต่กรีนแลนด์ยังเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

6. สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 2 ล้าน ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่เป็นรูปสามเหลี่ยมในบริเวณ 3 ดินแดน ได้แก่ เปอร์โตริโก, มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในปี ค.ศ. 1951 หลังจากมีเรือขนาดใหญ่รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ หายสาบสูญภายในบริเวณนี้ จนได้รับการสมญานามว่า “สามเหลี่ยมปีศาจ” (The Devil’s Triangle) มีการนำเสนอเรื่องราวนี้ในหลากหลายข้อมูลซึ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่นำไปสู่ข้อถกเถียงต่างๆ เนื่องจากยอดสูญหายของเรือและเครื่องบินกว่า 1,000 ลำ โดยเคสการหายสาบสูญไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาที่โด่งดังที่สุดคือ กรณี Flight 19 หรือหมู่เครื่องบินทิ้งระเบิด TBM Avenger จำนวน 5 ลำที่หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 1945 และเมื่อใช้เครื่องบิน PBM Mariner BuNo 59225 ออกตามหา ก็ปรากฏว่าหายสาบสูญไม่เจอแม้แต่ซากเช่นเดียวกัน ขณะที่อีกทรรศนะจากนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียอย่าง ‘คาร์ล ครูสเซลนิกกิ’ และองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) มีความเห็นหนักแน่นมาหลายปีว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาไม่ได้มีเรื่องราวลึกลับใดๆ เลย การสูญหายของเรือและเครื่องบินทั้งหลายเป็นเพียงเรื่องของ “ความน่าจะเป็น” เท่านั้น โดย NOAA บอกว่า “ไม่มีหลักฐานว่าการสูญหายไปอย่างลึกลับเกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถี่กว่าพื้นที่ขนาดใหญ่อื่นๆ ที่มีการเดินทางจำนวนมาก” และให้เหตุผลว่า สามารถพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมมาอธิบายการสูญหายส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ได้ เช่น แนวโน้มของกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรง จำนวนเกาะใหญ่น้อยในทะเลแคริบเบียนที่ทำให้การเดินเรือมีความยากและซับซ้อน รวมถึงหลักฐานที่บ่งชี้ว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีผลกระทบต่อเข็มทิศ ทำให้เกิดความสับสนในการหาเส้นทาง ส่วน ครูสเซลนิกกิ ก็ชี้ให้เห็นว่า ทุกกรณีของการสูญหาย มีสภาพอากาศเลวร้ายหรือความผิดพลาดของมนุษย์ หรือทั้งสองอย่างเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงมีการถกเถียงกันทางความคิดอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังคงหาบทสรุปของความจริงหนึ่งเดียวไม่ได้จนทุกวันนี้

7. มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ทั้งชนิดที่สามารถสังเกตเห็นได้ที่ผิวน้ำ และชนิดที่ซ่อนจากสายตาของมนุษย์ เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งปะการัง ปลา และหอยหลากหลายชนิดลึกลงไปกว่า 3,000 ฟุตใต้ทะเล ยังมีสายพันธุ์อื่นอีกมากมายอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่โลมาไปจนถึงเต่าทะเล โดยเฉพาะสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่าง สิงโตทะเล วาฬหลังค่อม พะยูน แมวน้ำ เต่าทะเลสีเขียว โลมา นกนางแอ่น นกออคส์ และ อัลบาทรอส มีรายงานว่าสัตว์หลายชนิดเหล่านี้ค่อยๆ หายไปอันเป็นผลมาจากมลพิษทางอุตสาหกรรม การทำประมงที่มากเกินไป และการทำเหมืองในทะเลที่รุนแรง (เช่น การทำเหมืองเพชรที่แอฟริกาใต้) ล้วนส่งผลกระทบโดยเฉพาะต่อสัตว์หายากอย่าง “วาฬไรท์แอตแลนติกเหนือ” (North Atlantic right whales) ซึ่งเป็นวาฬสายพันธุ์หนึ่งที่มีผู้ติดตามมากที่สุด แต่ขณะนี้จำนวนประชากรของพวกมันกำลังเข้าสู่การสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วในอัตรากว่า 8% ต่อปี ปัจจุบันพบเหลือเพียง 336 ตัวเท่านั้นในแอตแลนติก นักวิจัยกังวลว่าวาฬเพศเมียสายพันธุ์นี้อาจต้องเผชิญกับความเครียดจากสิ่งแวดล้อม จนไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วพอที่จะฟื้นฟูประชากรวาฬที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

8. โศกนาฏกรรมจากไททานิก สู่ “ไททัน” เรือไททานิคจมลงในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อปี 1912 หลังจากชนกับภูเขาน้ำแข็งระหว่างการเดินทางไปอเมริกา 111 ปีต่อมา “เรือดำน้ำไททัน” ที่นำเที่ยวชมซากเรือไททานิกก็ประสบโศกนาฏกรรมไม่ต่างกัน ทั้งยังมีความเกี่ยวพันกัน(แบบไม่บังเอิญ)ทางสายเลือด “ตระกูลสเตราส์” โดยตรงระหว่างผู้โดยสารเรือไททานิกสองสามีภรรยามหาเศรษฐี กับเวนดี รัช ภรรยาเจ้าของเรือไททันที่เกิดการระเบิดบีบอัดใต้น้ำเหลือเพียงซาก!

9. มีคนเพียงสองคนบนโลกใบนี้ที่ใช้เวลาสำรวจและบันทึกภาพซากเรือไททานิคเอาไว้มากที่สุดในโลก ที่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติกสุดลึกล้ำ นั่นคือ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับคนดังแห่งฮอลลีวู้ด และ บ๊อบ บัลลาร์ด (Bob Ballard) ศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยโรดไอส์แลนด์, อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพเรืออเมริกันวัยเกษียณ ทั้งสองคือ นักสำรวจใต้ทะเลลึกในตำนาน ที่ผ่านการดำดิ่งลงสำรวจซากเรือไททานิคมากกว่า 30 ครั้ง! นักสำรวจทั้งสองกล่าวถึง เหตุการณ์สูญหายเหลือเพียงซากของเรือดำน้ำไททันว่า “มันเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติ บทเรียนของไททานิค คือ คุณควรฟังคำเตือน อย่าให้ความโลภและความเย่อหยิ่งมาแทนที่วิจารณญาณที่ดีที่สุดของคุณ ผมหมายถึงกัปตันเรือไททานิกนั้นมีความเชี่ยวชาญการเดินเรือมากและเป็นที่นับถืออย่างสูงก็จริง แต่การที่เขาไม่ฟังคำเตือนและนำพาเรือพุ่งเข้าสู่ทุ่งน้ำแข็งในคืนเดือนมืดแบบเต็มอัตรา มันได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 1,500 ชีวิต นั่นคือบทเรียน” บัลลาร์ดเห็นด้วยและกล่าวเสริมว่า  “ถ้าคุณไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ คุณก็อาจเจอประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้”

เจมส์ คาเมรอน และ บ๊อบ บัลลาร์ด

10. จำนวนประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป แอฟริกา และอเมริกา รวม 52 ประเทศมีแนวชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก โดยความยาวชายฝั่งของมหาสมุทรวัดได้ประมาณ 111,900 กิโลเมตร

11. จุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรแอตแลนติก คือบริเวณที่มีชื่อเรียกว่า “ร่องลึกมิลวอกี” (Milwaukee Trench) โดยมีความลึกสูงสุดคือ 8,385 เมตร สถานที่นี้ตั้งชื่อตามเรือลาดตระเวนของอเมริกันที่มาค้นพบในปี 1939 ร่องลึกก้นสมุทรมิลวอกี ตั้งอยู่ในบริเวณร่องลึกเปอร์โตริโก

12. มหาสมุทรแอตแลนติกเป็น มหาสมุทรที่เค็มที่สุดในบรรดามหาสมุทรหลักทั้ง 5 แห่งของโลก โดยความเค็มสูงมีสาเหตุหลักมาจากแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกและเทือกเขาทั่วโลก

13. ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่อยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกามีแร่มูลค่ามหาศาล นั่นคือ เพชรและหินมีค่าอื่นๆ ที่เป็นสินค้าส่งออกมูลค่าสูงของประเทศแถบนี้ ในปี 2560 บริษัทเหมืองเพชรทางทะเล Debmarine Namibia ผลิตเพชรได้ 1.378 ล้านกะรัต โดยร่วมทุนกับบริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง De Beers และรัฐบาลนามิเบีย ดำเนินกิจการขุดเหมืองเพชร โดยใช้เรือตีนตะขาบเลาะไปตามแนวชายฝั่งนามิเบีย และออกสำรวจมหาสมุทรตลอดทั้งวัน เพื่อดูดเอาตะกอนจากใต้พื้นมหาสมุทรขึ้นมา เพื่อให้ได้เพชรล้ำค่าที่ขึ้นชื่อว่ามีความงดงามบริสุทธิ์ที่สุดในโลก

การทำเหมืองเพชรที่นามิเบีย ในแอฟริกา

14. นักบินหญิงคนแรกที่ทำการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกแบบไม่หยุดพักคือ “อมิเลีย เอียร์ฮาร์ท” (Amelia Earhart) โดยทำการบินสำเร็จในปี 1932 พร้อมกับเพื่อนนักบิน วิลเมอร์ สตุลต์ซ และอีกสี่ปีต่อมา อมีเลียขึ้นบินเพียงลำพังและสามารถทำสถิติการเป็นนักบินหญิงคนแรกของโลกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแห่งนี้ได้สำเร็จ

อมิเลีย เอียร์ฮาร์ท นักบินหญิงคนแรกของโลกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ

15. มหาสมุทรแอตแลนติกมีโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์มากกว่าที่พบในพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งในโลกรวมกัน และโบราณวัตถุเหล่านี้ส่วนใหญ่พบอยู่ใต้ก้นมหาสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากเป็นน่านน้ำมีเส้นทางการค้าและการเดินทางที่สำคัญที่สุดระหว่างซีกโลกตะวันตกและตะวันออกตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยจุดที่มีการพบโบราณวัตถุมากที่สุดอยู่นอกชายฝั่ง Florida Keys ซึ่งเป็นจุดที่มีซากเรือจมอยู่ใต้น้ำมากกว่า 1,000 ลำ

16. Cancun Reef จัดเป็น “แนวปะการังที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก” (รองจาก Great Barrier Reef นอกชายฝั่งออสเตรเลีย) ทุ่งปะการังอันสวยงามอลังการแห่งนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกนอกชายฝั่งเม็กซิโก.

แนวปะการังแคนคัน

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *