ในบรรดาหนังยอดนิยมของคนดู จะต้องมี “หนังแนวทำอาหาร” อยู่ในเพลย์ลิสต์เรื่องโปรดของหลายๆ คนเสมอ และนี่คือหนัง 6 เรื่องแนวทำอาหารที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างอบอุ่นหัวใจ ผ่านการปรุงอาหารที่ให้ความหมายกับชีวิตทั้งความรื่นรมย์ โรแมนติก สงบสุข สนุกป่วน การค้นพบตัวเอง และเรื่องราวดราม่า
ทั้ง 5 เรื่องถ่ายทำสวยงามไม่ว่าจะเป็นฉากหลัง วิวสวยๆ ของโลเกชั่นที่ดูแล้วฮีลใจ โดยเฉพาะมุมกล้องการถ่ายทำตอนปรุงอาหาร ที่อดกลืนน้ำลายไม่ได้จนอาจต้องลุกไปหาอะไรกินตามหนังเลยหละ!
1. Little forest – เป็นภาพยนตร์ชุดที่แบ่งออกเป็น 2 ภาคตามฤดูกาล คือ Little Forest: Summer/Autumn (2014) และ Little Forest: Winter/Spring (2015) ต้นฉบับดัดแปลงจากมังงะ หนังถ่ายทำกึ่งๆ สารคดี สวยงามเหมือนดูหนังโฆษณาดีๆเป็นเรื่องราวของหญิงสาววัยทำงาน “อิชิโกะ” ที่หมดไฟกับเมืองใหญ่ จึงตัดสินใจกลับบ้านเกิดในชนบท เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา หนังพาผู้ชมไปสัมผัสกลิ่นอายในชนบทของญี่ปุ่น กับความยั่วน้ำลายของมื้ออาหารแบบออแกนิกสุดๆ ที่นางเอกลงมือปรุงในแต่ละมื้ออย่างละเมียดละไมท่ามกลางธรรมชาติงดงามของ 4 ฤดูกาล อ่อ…มีเวอร์ชั่นเกาหลีเอาไปรีเมคเมื่อปี 2018 ด้วยนะ!
2. The Lunch box – หนึ่งในหนังอินเดียที่ดีที่สุดตลอดกาล เป็นหนังแนวทำอาหารที่มีเรื่องราวฟีลกู๊ด ได้สุดยอดนักแสดงบอลลีวู้ดแถวหน้าผู้ล่วงลับ “เออร์ฟานร์ ข่าน” (จาก Life of Pi และ Slumdog Millionaire) มาทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ ที่ดูแล้วอิ่มใจด้วยพล็อตเรื่องโรแมนติกแบบที่พระเอกนางเอกแทบไม่ได้เจอกันเลย หนังเล่าเรื่องผ่านปิ่นโตอาหารกลางวันที่ถูกขนส่งด้วยระบบฟู้ด เดลิเวอรี่ สุดแสนวุ่นวายของนครมุมไบ ที่หนุ่มใหญ่ผู้โดดเดียวจากการสูญเสียภรรยาที่จากไป ได้รับปิ่นโตอาหารกลางวันที่ส่งมาผิด ซึ่งเจ้าของปิ่นโตนั้นคือแม่บ้านสาวผู้ปรุงอาหารอย่างสุดฝีมือเพื่อเอาใจสามีผู้ห่างเหินเย็นชา เลยกลายเป็นว่าอาหารกลางวันเมนูนั้นได้เปลี่ยนวันธรรมดาแสนน่าเบื่อของหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณให้กลายเป็นวันสุดพิเศษ โดยที่แม่บ้านสาวไม่รู้เลยว่าปิ่นโตถูกส่งไปผิดคน เธอจึงใส่จดหมายลงไปในปิ่นโตเพื่อถามว่าปลายทางนั้นเป็นใคร และขอบคุณที่ส่งปิ่นโตกลับมาให้ และนั่นคือจุดเริ่มที่ทั้งคู่ได้ส่งจดหมายถึงกันไปมาเพื่อบอกเล่าชีวิตของตน นี่คือหนังโรแมนติกในมุมของมิตรภาพระหว่างคนแปลกหน้าสองคน
3. Eat Pray Love – เรื่องของลิซ (จูเลีย โรเบิร์ตส์)นักเขียนสาวดาวรุ่งจากนิวยอร์ค ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานแต่ชีวิตส่วนตัวขาดสีสัน จนมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตหลังจากการหย่าร้าง เธอตัดสินใจพักงานยาวหนึ่งปี และก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองไปหาเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตเพื่อการแสวงหาและค้นพบตัวเองในมุมอื่นด้วยการท่องโลกกว้าง เรื่องราวระหว่างการเดินทางไปในประเทศ 3 อ.(หรือ 3i ) คือ อิตาลี อินเดีย และ อินโดนีเซีย ที่เต็มไปด้วยความหมาย นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ได้มาจากการเดินทางครั้งนี้ ลิซได้สัมผัสกับความสุขเรียบง่ายที่เกิดจากการได้ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่นในอิตาลี ได้รับพลังแห่งการสวดภาวนาในอินเดีย และท้ายที่สุดเธอก็ได้พบกับความสมดุลในความรักที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดที่บาหลี อินโดนีเซีย….เรื่องนี้คุณมัมจูเลียเป็นนางแบกทั้งเรื่องแต่ก็เอาอยู่!
4. Chocolate – เป็นหนังในดวงใจของแอดที่ดูซ้ำหลายรอบก็ไม่เบื่อเลย เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งเคร่งครัดในจารีตประเพณี ม่ายสาวลูกหนึ่งชื่อ “วิอานน์” ที่รับบทโดย จูเลียตต์ บินอช ผู้มีเชื้อสายชาวมายาจากแม่…ผู้ส่งต่อความเชื่อของชาวมายาที่ว่า ‘ช็อกโกแลต’ ที่ผสมพริกไทยเล็กน้อยคือยาบำรุงกำลัง เสริมพลังแห่งรัก และความรื่นรมย์ ดังนั้นแม่ของวิอานน์จึงมักย้ายถิ่นฐานไปยังชุมชนต่างๆ เพื่อแจกสูตรผสม Chocolate ตามที่บรรพบุรุษทำกันมา ม่ายสาววิอานน์ก็ได้สืบทอดคติความเชื่อนี้ด้วย ในทุกฤดูหนาวเธอจึงย้ายถิ่นฐานไปยังที่ต่างๆ โดยไปปักหลักเปิดร้านขาย Chocolate ที่เธอปรุงเอง และความที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี เข้าอกเข้าใจผู้คนที่แตกต่างอย่างลึกซึ้ง ทำให้ร้านของเธอเริ่มเป็นที่ยอมรับจากจุดแรกที่คนในเมืองไม่ยอมเข้าร้านเธอเพราะมองเป็นคนจรนอกศาสนา หนังดำเนินไปอย่างน่าติดตาม ผ่านฉากทำช็อกโกแลตที่ดูประณีต น่ากินมากๆ แทรกประเด็นที่ทำให้ต้องเอาใจช่วยสองแม่ลูก ทั้งปัญหาภายนอกที่เธอต้องฟันฝ่าเพื่อให้ชุมชนยอมรับในความต่าง และการพบความสุขที่แท้จริง กับปมภายในใจของเธอเองเมื่อได้ค้นพบหมู่บ้านในฝัน กับชายหนุ่มพเนจร (จอห์นี่ เด็ปป์ – เรื่องนี้คืออย่างหล่อเท่สุดๆ) กับการปลดปล่อยเถ้ากระดูกของแม่ไปตามลมหนาวสู่เสรี…
5. The Hundred Foot Journey – ดูกันเพลินๆ ไปกับฉากการทำอาหารอินเดียสีสันจัดจ้านกับรสชาติที่เข้มข้น ประชันกับอาหารฝรั่งเศสสุดหรูหราหน้าตาดี ผ่านเรื่องราวชุลมุนสุดป่วนของครอบครัวชาวอินเดียที่ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักเปิดร้านอาหารในเมืองชนบททางตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งบังเอิญว่าอยู่ตรงกันข้ามกับภัตตาคารฝรั่งเศสสุดหรูระดับมิชลินสตาร์ซึ่งเป็นของ “มาดามมัลลอรี” ผู้เย่อหยิ่ง หนังเริ่มต้นจากการเป็นคู่แข่งและคู่กัดของสองร้านที่มี ปาป้า…พ่อชาวอินเดียหัวรั้นจอมโวย ปะทะมาดามจอมเป๊ะผู้หยิ่งผยอง แต่ได้นำพาไปสู่มิตรภาพที่เกิดขึ้นผ่านสองวัฒนธรรมการทำอาหารและความเชื่อ เสริมด้วยความรักของพ่อครัวหนุ่มอินเดียลูกชายปาป้า กับหัวหน้าเชฟสาวแห่งภัตตาคารฝรั่งเศส ที่ดูแล้วสบายตาน่าไปเที่ยวในเรื่องนี้คือ ฉากสวยๆ ในชนบทของฝรั่งเศสนี่แหละ
6. Toast -เรื่องราวสุดดราม่าของไนเจล เด็กชายเหงาๆ ที่มีแม่ป่วยและทำอาหารไม่เป็นเลย วันๆ จึงต้องกินแต่อาหารกระป๋องกับขนมปังปิ้งทาเนยหรือโทสต์ จนวันหนึ่งไนเจลที่สนใจเรื่องการทำอาหารมาก เลยโชว์ฝีมือเข้าครัวทำอาหารให้พ่อแม่กิน แต่พ่อก็ไม่สนับสนุนเขา ต่อมาเมื่อแม่ตายไม่นานพ่อก็มีภรรยาใหม่ที่เป็นแม่บ้านผู้เก่งเรื่องงานบ้านและงานครัว ภรรยาใหม่ของพ่อทำอาหารเก่งมาก แม้ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะไม่ดีนัก แต่นั่นได้จุดประกายให้ไนเจลลุกขึ้นมาทำอาหารอย่างมุ่งมั่น แถมทำได้ดีซะด้วย ดูเรื่องนี้แล้วถึงกับต้องไปหา “พายเลม่อนเมอร์แรง” มาชิมกันเลยทีเดียว หนังสร้างจากชีวิตจริงของ “ไนเจล สเลเตอร์” นักเขียนด้านอาหารและเจ้าของรายการทำอาหารชื่อดังของอังกฤษ