(26 ก.ค. 2566) “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์คลิปที่ตนเองถูกเชิญให้สัมภาษณ์กับสื่อดังระดับโลกอย่าง CNN โดยมีความยาวกว่า 10.30 นาที
ซึ่งประเด็นสำคัญเป็นช่วงคำถามที่ผู้สื่อข่าวอาวุโส ‘คริสเตียน อแมนพัวร์’ (Christiane Amanpour) ถามพิธาว่า “คนรุ่นใหม่และผู้สนับสนุนคุณต้องการอะไร ประชาธิปไตยในประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากนี้“ พิธายิ้มอ่อนก่อนตอบว่า “ผู้ประท้วงต้องการประชาธิปไตยที่ทำงานได้จริง ผู้ชนะเลือกตั้งต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีทั้งอำนาจ และความชอบธรรมในการนำประเทศ แต่ทว่าสถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้ กลับเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง และผู้ที่มาจากการแต่งตั้ง โดยที่สภาล่างมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งผมชนะ ส่วนสภาสูง หรือวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลทหาร หลังการรัฐประหารที่กำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสภาล่าง และสภาสูงที่มาจากการแต่งตั้ง และนั่นคือสภาพของการเมืองไทยในปัจจุบันนี้”
ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น ถามต่อว่า “แล้วข้อกล่าวหาที่ว่าคุณถือหุ้นสื่อ มันคืออะไร?” พิธาตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า “มันเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสกัดกั้น การเสนอชื่อผมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงก็คือผมไม่ได้ถือหุ้นสื่อนั้น แต่บิดาของผมเป็นผู้ถือ มันเป็นสื่อที่ล้มและปิดไป 17 ปีที่แล้ว และผมไม่เคยได้ผลประโยชน์ทางการเมือง จากการถือหุ้นนั้นเลย หรือได้ประโยชน์ใดจากการถือหุ้นนั้น แต่เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้มีการใช้เรื่องนี้ ขัดขวางผมก่อนที่จะมีการออกเสียงโหวตแคนติเดตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา และมันเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ทำให้ทั้งสื่อไทยสื่อเทศที่ติดตามการเมืองไทย ตั้งคำถามกันทั่วโลก”
ผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมอีกว่า “และจะทำอย่างไรต่อไป ในเส้นทางการเมืองหลังจากนี้?” พิธาเปิดใจในประเด็นนี้ว่า “การเสนอชื่อผมเป็นนายกรัฐมนตรียังมีความเป็นไปได้อยู่ อย่างน้อยที่สุด ผมก็ยังมีโอกาสที่จะอุทธรณ์ต่อข้อกล่าวหา (ถือหุ้นสื่อ) ยังมีสิทธิที่จะชี้แจงจากฝั่งผมบ้าง นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้เป็นอย่างน้อยที่สุด แต่ขณะนี้ ผมยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นชี้แจง หรืออุทธรณ์ต่อข้อกล่าวนั้น ซึ่งจะต้องรอดูต่อไปในศาลรัฐธรรมนูญที่ผมจะได้อธิบาย และชี้แจงในเรื่องนี้ ผมเป็นเพียงผู้จัดการมรดกหุ้นจากบิดา ซึ่งน่าจะช่วยเคลียร์ข้อกล่าวหานี้ได้ ซึ่งนั่นน่าจะทำให้การเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จะกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง”
(ชมคลิปสัมภาษณ์)
ที่มา: CNN