ข่าวดี!! กองทัพอากาศไทยสามารถบินตรงผ่านน่านฟ้า ซาอุฯ -อาหรับไปรับแรงงานไทยในอิสราเอล ได้แล้ว ไม่ต้องอ้อมประหยัดเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง
ภายหลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสุดยอด ASEAN – GCC ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และได้เข้าเฝ้า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุล อะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดย นายกฯ ขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ที่ดูแลคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว ซึ่งซาอุดีอาระเบียรับที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว
โดยภายหลังการหารือดังกล่าว มีรายงานข่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งไปยังกองทัพอากาศ ว่า ล่าสุด ซาอุฯ และกลุ่มประเทศอาหรับ เปิดน่านฟ้าให้กับเครื่องบินจากไทย สามารถบินผ่านเพื่อไปดำเนินภารกิจรับคนไทยในประเทศอิสราเอลกลับไทยได้แล้ว โดยทางกองทัพอากาศไทย ได้เตรียมจัด เครื่องบิน A340-500 เที่ยวบินที่ 3 RTAF229 ออกเดินทางวันนี้ (21 ตุลาคม 2566) เพื่อดำเนินภารกิจดังกล่าว
โดยจะบินผ่าน เส้นทางปกติ คือ เมียนมา อินเดีย โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน และอิสราเอล ลงจอดที่สนามบิน เบนกูเรียน เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล โดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง จากเดิมที่ต้องบินอ้อม โดยใช้เส้นทาง 10 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อาเซอร์ไบจาน อาร์มิเนีย ตุรกี ไซปรัส และอิสราเอล ซึ่งจะใช้เวลาราว 12 ชั่วโมง
สำหรับเที่ยวบินตรง จากไทยถึงอิสราเอลผ่านน่านฟ้าซา่อุและน่านฟ้ากลุ่มประเทศอาหรับนั้น ออกเดินทางเมือ่เวลา 13.30 น. (21 ตค.) และจะกลับวันที่ 22 ตุลาคม 2566 เวลา10.50 น.โดยกองทัพอากาศไทย อาจกำลังพิจารณา ใช้แผนเดิม คือใช้เครื่องบิน C130 บินไปรับคนไทย ในอิสราเอลด้วย หากเป็นเส้นทางปกติ จะแวะเติมน้ำมัน ที่อินเดีย