หนังไทยคัมแบ็ก! “สัปเหร่อ-ธี่หยด” ปลุกกระแส แข่งกันโกยสนั่น แนวสยองขวัญ-ตลก ยังครองตลาดคนดู

กำลังเป็นขาขึ้นของวงการหนังไทยขณะนี้ เมื่อหนังแนวตลก-ดราม่าแห่งจักรวาลไทบ้านอย่าง “สัปเหร่อ” โกยรายได้ล่าสุดทะลุ 700 ล้านบาท ขณะที่หนังสยองขวัญ-แอคชั่น-ดราม่า อย่าง “ธี่หยด” ทำสถิติฉายวันแรกโกยรายได้สูงสุด ล่าสุดรายได้ทะลุ 200 ล้าน ขึ้นแท่นหนังไทยทำเงินผ่านหลัก 100 ล้านเร็วที่สุดของปี 2566

พูดได้เลยว่าแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับวงการภาพยนตร์ไทยตอนนี้ ถือเป็นขาขึ้นที่หนังไทยได้คัมแบ็กมาอยู่ในความสนใจของคนไทยอีกครั้ง หลังปล่อยให้หนังฝั่งฮอลลีวู้ดโกยเงินติดๆ กันมานาน ตอนนี้คนดูชาวไทยหันมาสนใจหนังไทยกันมากกว่าช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นจังหวะการปล่อยหนังไทยออกฉายที่พอเหมาะพอเจาะในช่วงปลายปี ซึ่งหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่มีเพียง Hunger game 2 : Catching fire ที่เข้าฉายอยู่ตอนนี้ แต่ดูเหมือนพลังของ ‘แคทนิส เอเวอดีน’ จะเสื่อมมนต์ขลังไปซะแล้ว!

กลับมาที่กระแสหนังไทย ที่พาให้รัฐบาลโหนกระแสหนังบ้านๆ แปะคำที่ใช้กันเกร่อ(แต่ผิวเผิน) อย่าง soft power มาผลักดันนโยบายช่วยโปรโมทให้ภาครัฐ (ที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงช่วยหนังไทยเรื่องนี้แต่แรก) พอหนังดังก็ฉวยโอกาสทำพีอาร์ให้ตัวเองกันดื้อๆ แบบตื้นๆ ง่ายๆ งี้แหละ เอาเป็นว่ามาจับตาดูกันต่อไป ที่นายกฯเศรษฐา ประกาศจะผลักดันหนังไทยเป็นซอฟท์ พาวเวอร์สู่ตลาดโลกนั้น จะช่วยจริงจังแค่ไหน หรือจะเป็นแค่ “ลมปากเป่า” แบบรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ “โหนแล้วหาย”…แค่นั้นหรือไม่?

สำหรับกระแสแรงของหนังไทยทั้งสองเรื่อง ตอนนี้ ‘สัปเหร่อ’ ยังคงทำรายได้ต่อเนื่องสู่ 700 ล้าน ซึ่งอาจต้องมาลุ้นกันว่าจะไปถึงหลักพันล้านทำลายสถิติเดิมที่หนัง “พี่มากพระโขนง” หนังไทยเรื่องเดียวที่กอดสถิตินี้มานาน ได้หรือไม่

ส่วน “ธี่หยด” หนังที่ดัดแปลงมาจากเค้าโครงเรื่องจริงอันโด่งดัง ก็กำลังทำรายได้ทะยานสู่ 200 ล้านบาททั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว (ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2566) น่าลุ้นอีกเหมือนกันว่าจะไปถึง 500 ล้านได้หรือไม่

จะเห็นได้ว่ากระแสความนิยมของคนดูชาวไทยยังคงมีให้หนังแนวสยองขวัญ ขายความหลอน ที่ไม่ว่าจะแทรกด้วยความตลก ดราม่า หรือแอคชั่น ก็ขอให้มีผีโผล่มาเรียกความตื่นเต้นกระตุ้นอะดรินาลีนคนดูเสียหน่อย คนดูส่วนใหญ่ชอบ แต่ถึงจะตามสูตรสำเร็จ ก็ไม่ง่ายอยู่ดีที่จะกลายเป็นหนังทำเงินหรืออยู่ในกระแสอย่างสองเรื่องนี้

ด้วยองค์ประกอบของหนังที่ทำอย่างมีคุณภาพ ทั้ง ‘ตัวบท’ ของหนังสัปเหร่อที่เห็นความพยายามในการสื่อความหมายของการสูญเสีย-การจากลา-การยึดติด ผ่านความตาย หรือในหนังธี่หยด ที่แทรกเรื่องความรักความผูกพันกลมเกลียวในครอบครัวเข้ามา เพื่อสื่อว่าสิ่งนี้ช่วยให้ก้าวผ่านอุปสรรคยากลำบากไปได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลปฎิเสธไม่ได้ว่า หนังตรึงคนดูไว้ได้ด้วยทีมเวิร์กของนักแสดง และการขายความตลกซื่อใสสไตล์ไทบ้าน(สัปเหร่อ) กับความระทึกชวนลุ้นจนนั่งแทบไม่ติด(ธี่หยด) และงานภาพที่ทั้งสองเรื่องทำออกมาได้ดีมาก

“ต้องเต ธิติ” ผู้กำกับหนัง “สัปเหร่อ”
“คุ้ย ทวีวัฒน์” ผู้กำกับ “ธี่หยด”

ต้องชมผู้กำกับทั้งสองคนอย่าง ต้องเต ธิติ(สัปเหร่อ)และ คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา(ธี่หยด) ที่ทำให้เกิดความลงตัวในหนัง ที่แม้ไม่สมบูรณ์ที่สุด แต่การบอกต่อกันของคนดูก็คือคำตอบในตัวเองอยู่แล้วว่า หนังเรื่องใดทำออกมาแล้วคนดูชอบ คือจบ!  แต่ที่ต้องมีด้วยคือ ดวง ซึ่งหมายถึงจังหวะที่หนังออกฉาย ทั้งหมดจึงเป็นความพอเหมาะพอเจาะ และพอดี

นาทีนี้จึงต้องยกความดีความชอบให้หนัง 2 เรื่องนี้ “ธี่หยด-สัปเหร่อ” ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการปลุกกระแสคนไทยให้หันกลับมาดูหนังไทยกันคึกคักอีกครั้ง ถือว่าช่วยฟื้นโคม่าให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้ก่อนลาจากปี 2566 สู่ปี 2567 ได้อย่างสวยงาม…น่าชื่นใจ!

 

Content Writer: อภิรดี จูฑะศร

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *