ดร.เอ้ ชวนจับตามองเปลี่ยนผ่านอำนาจผู้นำสิงคโปร์ หลังนายกฯ ลี วางมือ แนะผู้นำไทยเรียนรู้ความสำเร็จ ต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ “ดร.เอ้” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “เอ้ สุชัชวีร์” โดยระบุว่า “ผู้นำสิงคโปร์” ที่คนไทย “ต้องรู้เขา ต้องรู้เรา” ไม่น่าเชื่อ มีข่าวในประเทศไทยน้อยมาก ที่นำเสนอเรื่อง การถ่ายโอนอำนาจจากนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ส่งต่อไปยัง รองนายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผู้นำไทย และคนไทย จำเป็นต้องจับตา มอง อย่างตาไม่กระพริบ!
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า การเมืองสิงคโปร์มีผลมากต่อประเทศไทย ทั้งทางตรง เพราะสิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศคู่ค้า และมิตรประเทศของไทยในภูมิภาคอาเซียน ส่วนทางอ้อม เพราะสิงคโปร์มียุทธศาสตร์ชาติ ที่ “เอาจริงเอาจัง” ไม่ทำอะไรแบบขอไปที มองไกล ไม่มองใกล้ วางแผนปฎิบัติการต่อเนื่อง การ “จับจังหวะย่างก้าว” ของสิงคโปร์ จึงมีประโยชน์มหาศาลกับผลประโยชน์ของชาติไทย เพราะการดูการบ้านของคนเก่ง ย่อมพัฒนาต่อยอด ได้ ดียิ่งกว่า จริงไหมครับ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ประเทศสิงค์โปร์มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คน หรือ 3 เจนเนอเรชั่น คือ 1. ลี กวน ยู 2. โก๊ะ จ๊ก ตง 3. ลี เซียน ลุง และกำลังส่งมอบสู่ ผู้นำเจนต่อไปคือ 4. ลอว์เรนซ์ หว่อง สำหรับยุทธศาสตร์การสร้างชาติของสิงคโปร์ ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแต่ “เป้าหมายชัด เชื่อมั่น มุ่งมั่น” ลุยทำต่อเนื่อง โดยเจนแรก นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู ทำหน้าที่ “วางโครงสร้าง” จากประเทศไร้ทรัพยากร สร้างตัวตนจาก “ยุทธศาสตร์พื้นที่” สร้างท่าเรือ สร้างสนามบินระดับโลก และ “พัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ปฏิรูปการศึกษาอย่างเข้มข้น เพราะเป็นทางเลือกหนึ่งเดียว เพื่อ “ความอยู่รอด” ของชนชาติ
เจนสอง นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง “สืบสาน” ยุทธศาสตร์เดิม โดยเพิ่มเรื่องบทบาท “การต่างประเทศ” เราจะเห็นท่านเยือนต่างประเทศ เชื่อมความสัมพันธ์กับชาติอาหรับที่มั่งคั่ง และสร้างความเป็นผู้นำอาเซียน เพื่อชิง “พื้นที่อิทธิพลในโลก” ทำให้สิงคโปร์มีอำนาจต่อรองทางการเมือง และเศรษฐกิจ จนเป็นศูนย์กลางด้านการเงินของโลก เจนสาม นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ลุง บุตรชายคนโต ของท่านลี กวน ยู ก้าวขึ้นนำประเทศ ด้วยปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทำให้มองอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์สร้างชาติด้วย “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” อย่างเข้มข้น
จุดนี้เอง ทำให้สิงคโปร์สามารถ “ก้าวกระโดด” สู่ประเทศผู้นำด้านนวัตกรรมมูลค่าสูง นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ลุง เริ่มต้นจาก “การยกระดับการศึกษาและวิจัย” ผลักดันให้ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore, NUS) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ( Nanyang Technological University, NTU) จากมหาวิทยาลัยธรรมดา จนเป็นมหาวิทยาลัยท๊อปเทน ของโลก ดึงดูดนักวิจัยหัวกระทิของโลก เข้ามาร่วมพัฒนาชาติสิงค์โปร์ ยิ่งไปกว่านั้น ลี เซียน ลุง สร้างประวัติศาสตร์ ตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design, SUTD) ร่วมกับเอ็มไอที มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก เพื่อเป็น “เรือธง” สร้างคนรุ่นใหม่อัจริยะ ออกมานวัตกรรมให้สิงคโปร์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์นี้ สิงค์โปร์จึงกลายมาเป็นผู้นำของโลก 1. ด้านเมืองอัจฉริยะ 2. ด้านอากาศยานและอวกาศ 3. ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ และยารักษาโรค 4. ด้านยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีความมั่นคง 5. ด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ และป้องกันภัยพิบัติ 6. ด้านปัญญาประดิษฐ์ AI และอีกหลายสาขาแห่งโลกอนาคตด้วยความมุ่งมั่น กล้าเปลี่ยน จาก “ประเทศผู้นำการให้บริการทางเศรษฐกิจและการเงิน” สู่ “ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม” ที่มีคุณค่าสูง ยั่งยืนกว่า
ความสำเร็จตลอดร่วม 20 ปี ที่นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ล ได้ทุ่มเท เสียสละ ออกดอกผล ก็ถึงเวลา “ส่งงานต่อ” โดย “ไม่ยึดติดกับอำนาจ” ให้คนเจนสี่ ลอว์เรนซ์ หว่อง อย่างไม่ลังเล ทั้งๆที่ ยังไม่มีเลือกตั้งใหญ่ เหตุผล คือ ต้องการให้ผู้นำเจนสี่ นำวิสัยทัศน์และนโยบายของตน ให้ประชาชนสิงค์โปร์ได้ตัดสินใจเลือก และต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ให้สัญญาประชาคม
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า ได้ชมคลิปที่ นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ลุง น้ำตาซึม ร้องไห้ขณะอำลาในการประชุมใหญ่ของพรรคกิจประชาชน (People’s Action Party, PAP) กล่าวขอบคุณที่ให้โอกาสท่าน “รับใช้ประเทศชาติ” ทำให้ตนศรัทธาในความเป็น “รัฐบุรุษ” คือ “เกิดเป็นคน ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน” ชาติและประชาชน จากนี้ไป สิงค์โปร์กำลังเข้าสู่ยุค “ทีม 4G” ชื่อที่ผู้สื่อข่าวตั้งให้ ทีมผู้บริหารรุ่นที่ 4 ซึ่งนำโดย ลอว์เรนซ์ หว่อง นักบริหารวัย 51 ปี ผู้มากประสบการณ์ และผู้นำการเปลี่บนแปลง