รมช.พณ. เยี่ยมบูธผู้ประกอบการสมุนไพรไทย ภายในงาน ‘THAIFEX – ANUGA ASIA 2024’ ชูแนวคิด ‘Think Wellness Think Thai Herb’ คิดถึงสุขภาพ คิดถึงสมุนไพรไทย โชว์สรรพคุณผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ‘อาหารแห่งอนาคต’ เจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพรสู่เวทีการค้าโลก ผลักดันไทยเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรในภูมิภาคเพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หันมาบริโภคสมุนไพรควบคู่อาหารและเครื่องดื่ม
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเข้าร่วมพิธีเปิด ‘งานแสดงสินค้าอาหาร 2567 : THAIFEX – ANUGA ASIA 2024’ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า “โอกาสนี้ ตนได้เยี่ยมชมพร้อมให้กำลังใจผู้ประกอบการสมุนไพรไทย 20 ราย ณ โซน SMART Local Herb ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้พามาร่วมออกงาน THAIFEXเพื่อเชื่อมโยงและขยายช่องทางการตลาดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น พร้อมชูแนวคิด ‘Think Wellness Think Thai Herb’ คิดถึงสุขภาพ คิดถึงสมุนไพรไทย สนับสนุนการตลาดสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จัก และใช้เป็น Gimmic Highlight ในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างการจดจำและสร้างแรงจูงใจในการเลือกสมุนไพรไทยเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพ ที่ดี”
นายนภินทรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สมุนไพรไทยมีจุดเด่นและอัตลักษณ์ที่มีคุณค่าที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย เป็นวัตถุดิบมีคุณภาพ มีมาตรฐานการผลิต เมื่อนำนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดทำให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งขยายผลการดำเนินงานด้านการตลาดเชิงรุก โดยให้ชูจุดเด่นผลิตภัณฑ์สมุนไพรควบคู่กับอาหารและเครื่องดื่มของไทย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้รักสุขภาพ และผู้ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญและสนใจบริโภคผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร พร้อมทั้งผลักดันให้สมุนไพรไทยพัฒนาเป็น ‘อาหารแห่งอนาคต’ เพื่อขยายตลาดสมุนไพรให้เป็นที่รู้จักและผลักดันสู่ตลาดโลก และเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดยการนำสมุนไพรไทยดัดแปลงให้เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่กินง่ายดื่มง่าย ตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ชอบกินยาแต่ต้องการความแข็งแรง เป็นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ต่อการดูแลรักษาสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน”
นอกจากนี้ รมช.พณ.นภินทรฯ ยังได้ชมการสาธิตทำอาหารและเครื่องดื่มจากสุมนไพร โดยใช้วัตถุดิบของผู้ประกอบการที่ร่วมออกงานฯ มาเป็นส่วนผสมในอาหารและเครื่องดื่ม และการใช้สมุนไพรแทนส่วนประกอบทดแทน เช่น การใช้ Plant-Based Meat แทนเนื้อสัตว์ การใช้น้ำนมงานแทนกะปิในขนมจีนน้ำยาใต้ และเครื่องดื่มสมุนไพร เพื่อเปิดมุมมองและเปิดตลาดให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทย เป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น มั่นใจว่า ภาคธุรกิจด้านสมุนไพรของไทยมีศักยภาพสูงและมีความพร้อมที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางตลาดสมุนไพรทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมีภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุน ทั้งนี้ รมช.พณ. นายนภินทรฯ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการกลุ่มสมุนไพรอย่างใกล้ชิด และอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2563 – 2565 มูลค่าส่งออกพืชสมุนไพรของไทยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นแตะ 400 ล้านบาท และปี 2566 มูลค่าส่งออกสูงถึง 475.08 ล้านบาท ขณะที่ มูลค่าส่งออกสารสกัดจากสมุนไพร มีแนวโน้มการขยายตัวในทิศทางเดียวกับมูลค่าส่งออกพืชสมุนไพร โดยปี 2566 มีมูลค่าส่งออกสารสกัดจากสมุนไพร จำนวน 379.80 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกพืชสมุนไพร 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น คูเวต ไต้หวัน และบังกลาเทศ ตามลำดับ และตลาดส่งออกสารสกัดจากสมุนไพร 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ เมียนมา จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ตามลำดับ